“แคปปิตอล วัน” โบรกเกอร์ชั้นนำในเมืองไทย วิเคราะห์ตลาดกลุ่มชาวจีน ต่ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ลุ้นมีโอกาสคัมแบ็ก หลังบรรยากาศเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน เริ่มคลี่คลาย แต่สถานการณ์ที่ผ่านมาก็มีผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ไทย เหตุปัจจัยค่าเงินหยวนอ่อน เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ เชื่ออัตราแลกเปลี่ยนกระทบกับผู้ซื้อชาวจีนในระยะสั้น เผยยังมีกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่มีฐานะดี พร้อมลงทุนอสังหาฯ โดยไทยเป็นตลาดที่ถูกเลือก พร้อมเสนอให้มีการขึ้นทะเบียนนายหน้าในไทย เพื่อยกระดับให้น่าเชื่อถือ
นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำในเมืองไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารตลาดคอนโดมิเนียมในโซนสุขุมวิท มีพอร์ตบริหารการขาย จำนวน 30,000 ล้านบาท เปิดเผยถึงสถานการณ์กลุ่มชาวจีน ต่ออสังหาริมทรัพย์ประเทศไทยที่ลดลงว่า เนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลายฝ่ายกลัวว่าจะมีผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าชาวจีน ซึ่งอาจจะมีผลในระยะสั้น และระยะกลาง เนื่องจาก ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เหลือวาระดำรงตำแหน่งอีกเพียง 2 ปี หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้รับเลือกเข้ามาอีกครั้ง ทำให้นโยบายต่างประเทศเปลี่ยนแปลง
ส่วนความกังวลต่อค่าเงินหยวนที่ค่าเงินหยวนได้อ่อนค่าอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 6.8 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปรับตัวจาก 6.3 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จากช่วงต้นปี 2018 (ปี 2561) เป็นผลมาจากตอบโต้ โดยการดำเนินโนบายทางการเงินของรัฐบาลจีน เพื่อทดแทนราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดือนตุลาคม 2018 สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2008 (ปี 2551) ไม่ได้เกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจในประเทศจีน โดยสังเกตได้ว่า เงินหยวนได้ขยับตัวอ่อนค่าหลังจากเดือนกรกฎาคม 2018 หลังจากช่วงเวลาที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน และล่าสุด แม้ขณะนี้ความกดดันเรื่องสงครามการค้าจะบรรเทาลง แต่ก็ต้องเฝ้าดูบรรยากาศจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร
ขณะที่ระดับอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่ 6.7781 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (วันที่ 18/01/2019) อัตราแลกเปลี่ยนใกล้เคียงในปี 2010 (ปี 2553 อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 6.8268 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) และก่อนหน้านั้นเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจจีนอยู่ในยุคทองที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง โดยมีอัตราเปอร์เซ็นต์มากกว่า 2 หลักต่อปี ดังนั้น เศรษฐกิจจีนจึงมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นภายในปีหน้า แต่อาจจะมีผลกระทบต่อจิตวิทยาของกลุ่มผู้ซื้อในระยะสั้น และอัตราแลกเปลี่ยนหลังจากนี้จะคงอยู่ที่ระดับ 6.8-6.9 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในอีกระยะเวลานาน หากยังไม่มีข้อตกลงในการยุติสงครามการค้า
อย่างไรก็ตาม ชาวจีนที่มีจำนวนประชากรทั้งประเทศประมาณ 1,300 ล้านคน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าประมาณ 4 เท่าของประชากรสหรัฐอเมริกา สัดส่วนของชาวจีนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศคาดการณ์ว่าไม่เกิน 0.1% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เงินเก็บค่อนข้างสูง และเจ้าของธุรกิจ และเงินเก็บบางส่วนจะอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง, สิงคโปร์, อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา มีฐานะทางการเงินค่อนข้างมั่นคง จึงหาทางเลือกในการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นและเป็นบางส่วนของการลงทุนในต่างประเทศของชาวจีน
“อยากให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่ามองว่า ลูกค้าจีนจะเป็นปัญหาทั้งหมด เนื่องจากการซื้อและไม่โอนกรรมสิทธิ์เป็นเพียงบางส่วน และเกิดจากบริษัทนายหน้าเท่านั้น หรืออาจจะป้องกันปัญหาโดยควรจะมีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เพื่อมีข้อบังคับและระเบียบในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าชาวจีนมีพฤติกรรมที่เปิดกว้างในต่างประเทศมากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคเอเชียรอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ยุโรป และสหรัฐฯ ยังมีปัญหา ยังไม่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และควรให้ความสำคัญต่อการบริการหลังการขายต่อลูกค้าชาวจีน เพื่อชื่อเสียงของประเทศในชาวต่างชาติที่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย” นายวิทย์ กุลธนวิภาส กล่าวทิ้งท้าย.