ซิงเกอร์ประเทศไทยเพิ่มทุน 432 ล้านหุ้น จัดสรรผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 216 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 4 หุ้นใหม่ และที่เหลือเพื่อรองรับการแปลงสภาพวอร์แรนต์ หวังเพิ่มสภาพคล่อง และปรับโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมั่นคง
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีก 432 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 270 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน 702 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 432 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท
พร้อมกับให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) ที่จะซื้อหุ้นสามัญ 216 ล้านหน่วย เพื่อจะซื้อหุ้นของ SINGER ครั้งที่ 1 หรือ SINGER-W1 อายุ 2 ปี จำนวนไม่เกิน 108 ล้านหน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท และได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Issue) และจองเกินจากสิทธิ (ExcessRights) ในอัตราส่วน 2 หุ้นที่ได้รับจัดสรรต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์ กำหนดอัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ ที่ราคาใช้สิทธิจะเท่ากับราคาซื้อขายถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นสามัญของบริษัทย้อนหลัง 15 วันทำการติดต่อกัน ก่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2562 บวกส่วนเพิ่มร้อยละ 20
อีกทั้ง SINGER-W2 อายุ 4 ปี จำนวนไม่เกิน 108 ล้านหน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท และได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Issue) และจองเกินจากสิทธิ (Excess Rights) ในอัตราส่วน 2 หุ้นที่ได้รับจัดสรรต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์ กำหนดราคาใช้สิทธิ 14 บาท
พร้อมกับให้จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 432 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยแบ่งจัดสรร 216 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 4 หุ้นสามัญเพิ่มทุน และจัดสรร 216 ล้านหุ้น พาร์ 1.00 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามวอร์แรนต์ ของบริษัท หรือ SINGERW1 จำนวน 108 ล้านหุ้น และเพื่อรองรับการใช้สิทธิ SINGER-W2 จำนวน 108 ล้านหุ้น
สำหรับการเพิ่มทุนของบริษัทในครั้งนี้ จะส่งผลให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมั่นคงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งบริษัทจะมีความพร้อมทางด้านเงินทุน และสภาพคล่องทางด้านการเงินที่จะขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการสินเชื่อที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อยในอนาคต อันจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ และกำไรต่อบริษัท ตลอดจนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว และชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท คาดจะใช้เงินภายในไตรมาส 4 ปี 2562