เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ เทรดวันแรกปิดที่ 1.52 บาท ลดลง 0.28 บาทหรือ 15.56% จากราคาจอง ผู้บริหารเผยราคาหุ้นเปิดเทรดวันแรกต่ำจอง เหตุนักลงทุนไม่มั่นใจลงทุนหุ้นไอพีโอ หลังปลายที่ผ่านมาหุ้นน้องใหม่รูดจองต่อเนื่อง ยันผู้ถือหุ้นเดิมไม่มีการขายหุ้น และไม่ขายก่อนไอพีโอ “แมนพงศ์” แจงหุ้น IPO ตัวแรกของปี 62 ราคายังต่ำกว่าจองมาจากหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนกดราคาหุ้น IPO ยันพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไทยยังเติบโตดี
หุ้นของบริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันนี้เป็นวันแรก ซึ่งเปิดการซื้อขายที่ 1.70 บาทต่อหุ้น ลดลง 0.10 บาท หรือร้อยละ 5.56 จากราคา IPO ที่กำหนดไว้ 1.80 บาท ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 1.75 บาท ต่ำสุดที่ 1.51 บาท เมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 1.52 บาท ลดลง 0.28 บาท หรือ 15.56% มูลค่าซื้อขาย 95.34 ล้านบาท
นายพดด้วง คงคามี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM กล่าวว่า ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงวันแรก เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจลงทุนหุ้นไอพีโอ หลังจากหุ้นไอพีโอเข้าจดทะเบียนในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.61 ต่ำจอง จึงมีการขายหุ้นออกมา ส่วนตัวยืนกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ไม่ได้มีการขายหุ้น และบริษัทไม่มีการขายหุ้น Pre-IPO แน่นอน
“ขอยืนยันว่า นักลงทุนทุกคนมีต้นทุนเท่ากัน ซึ่งไม่มีการขาย Pre-IPO และกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมไม่ได้ขายหุ้น การที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงนั้น อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา นักลงทุนรับรู้ข่าวมาตลาดว่า หุ้นไอพีโอไม่ดี ภาพติดตา โดยที่ไม่รู้ว่า บริษัทดีหรือไม่ดี โดยพื้นฐานของบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนตัวเคยกังวลว่า วันแรกเข้ามาจะไม่ดี แต่มีคนบอกว่าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกนาน ไม่ได้อยู่วันเดียว หากบริษัทมีการขายโรงไฟฟ้าที่กำลังพัฒนา จะรับรู้รายได้จำนวนมาก”
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการที่ราคาหุ้น IPO ตัวแรกที่เข้าทำการซื้อขายปีนี้ราคาต่ำกว่าราคาจองว่า การที่บริษัทจดทะเบียนออกหุ้นสามัญระดมทุน (IPO) มีปัจจัยประกอบ 3 ส่วน คือ ความพร้อมของข้อมูลบริษัท ความจำเป็นในการระดมทุน หรือการใช้เงินของบริษัท และสภาวะตลาดหุ้น ซึ่งต้องพิจารณาประกอบกันในการออกหุ้น IPO แต่ยอมรับว่า สภาวะตลาดหุ้นก็มีส่วนสำคัญ ส่วนปี 2562 ยังมีบริษัทอีกหลายแห่งที่เตรียมเข้าจดทะเบียนซื้อขายใน ตลท. ซึ่งจะมีบริษัทขนาดใหญ่ด้วย
ทั้งนี้ หุ้นที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นมีปัจจัย 3 ส่วนประกอบกัน โดยต้องดูภาวะตลาดหุ้น ความต้องการใช้เงินตามแผนที่วางไว้ และความพร้อมของบริษัททั้งเรื่องข้อมูล ไฟลิ่ง ระบบัญชี ซึ่งเรื่องภาวะตลาดหุ้นอยู่นอกเหนือการควบคุม หากบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็อาจต้องขายหุ้นตามกำหนด แม้สภาวะตลาดจะผันผวนก็ตาม โดยหากพิจารณาดูสภาวะตลาดหุ้นในช่วงต่อไปมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังมีการเติบโต โดยช่วงไตรมาส 1-3 ของปี 2561 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนว่า บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความแข็งแกร่งดี