บริษัท บูรพาเทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ETE ถูกจัดเป็นหุ้นน้องใหม่ยอดแย่ในรอบ 3 ปี เพราะราคาทรุดลงหนักที่สุด และมีสัญญาณว่า อาจเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีปัญหาด้านฐานะการดำเนินงาน ในอนาคตอันไม่ไกล
ETE เพิ่งเข้าซื้อขาย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 หลังนำหุ้นกระจายสู่นักลงทุนทั่วไปในราคา 4.20 บาท จากพาร์ 0.50 บาท แต่เมื่อเข้าตลาดหุ้นแล้ว ราคาปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ปีนี้เป็นขาลงเต็มตัวของหุ้น ETE โดยวันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม ลงมาปิดที่ 97 สตางค์ ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาที่เสนอขายนักลงทุนก่อนเข้าตลาด ลดลงรวม 3.23 บาท หรือลดลงเกือบ 80 %
เพียง 1 ปีเศษ หุ้นน้องใหม่ตัวนี้ ทำท่าจะออกลายให้เห็น จากผลประกอบการที่มีกำไร โดยเฉพาะปี 2560 กำไรสุทธิ 70.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 31.17 ล้านบาท
แต่ 9 เดือนแรกปี 2561 กลับมาขาดทุนสุทธิ 76.84 ล้านบาท และทำให้มียอดขาดทุนสะสมเป็นครั้งแรก 1.39 ล้านบาท ขณะที่หลายปีก่อนมีกำไรสะสมมาตลอด
ETE ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการบุคลากร ระบบงานธุรกิจ และรถเช่าพร้อมพนักงานขับรถ ธุรกิจบริการงานวิศวกรรมไฟฟ้าและระบบโทรคมนาคม ธุรกิจพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ และธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ความปลอดภัย โดยบริษัทตั้งอยู่ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี แต่ถูกปั้นจนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้
นักลงทุนที่จองหุ้น ETE ไว้ ตอนนี้ต้องเจ็บหนัก เพราะราคารูดลงต่อเนื่อง และไม่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น โดยเฉพาะผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปีนี้ อาจซ้ำเติมให้หุ้นดิ่งลง
เพราะนักลงทุนหมดความมั่นใจในแนวโน้มผลประกอบการ ถ้ายังขาดทุนต่อไป อาจกระเทือนถึงฐานะทางการเงินได้
นักลงทุนที่มีหุ้นตัวนี้อยู่ในมือ คงเลือกที่จะไม่เล่นหุ้นตัวนี้ เพราะดูราคาย้อนหลังแล้ว ปักหัวลงมาม้วนเดียว ส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยเดิมจำนวน 3,108 ราย แม้อยากจะออก แต่ทำใจตัดขาดทุนไม่ไหว จำใจต้องกัดฟันถือต่อ แม้มองไม่เห็นอนาคตก็ตาม
ETE เป็นหุ้นอีกตัวที่ตอกย้ำ ความล้มเหลวของนโยบายการรับบริษัทจดทะเบียนใหม่ ซึ่งเน้นในเชิงปริมาณ โดยตั้งเป้าหมายจำนวนหุ้นใหม่ที่จะรับในแต่ละปี
โดยละเลยในความสำคัญการกลั่นกรองด้านคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนที่จะรับ และปล่อยให้หุ้นใหม่เข้าสร้างความเสียหายให้นักลงทุน ไม่เฉพาะหุ้น ETE เท่านั้น แต่มีหุ้นใหม่อีกหลายสิบตัวที่นักลงทุนจองซื้อไว้ต้องตกเป็นเหยื่อสังเวย
โดยเฉพาะปีนี้ ซึ่งมีหุ้นใหม่เข้ามาซื้อขายรวม 18 บริษัท แต่ส่วนใหญ่จองแล้วเจ๊ง ราคาล่าสุดหลุดจอง 11 บริษัท และแปรสภาพจากหุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์พิจารณาแล้วว่าดี จนปล่อยให้หลุดเข้ามาระดมในจากตลาดหุ้น กลายเป็นหุ้นร้าย หรือกลายเป็นหุ้นที่เน่า
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นใหม่ ตลาดหลักทรัพย์อาจไม่มีหน้าที่กำกับดูแล แต่การพิจารณาอนุมัติรับบริษัทจดทะเบียนใหม่ เป็นอำนาจเต็มของตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งรอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีการรวบรวมสถิติสะท้อนให้สาธารณชนเห็นแล้วว่า หุ้นใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์อนุมัติรับเข้ามา สร้างความเสียหายให้นักลงทุนหนักหนาสาหัสเพียงใด
จึงควรที่จะทบทวนนโยบายการรับหุ้นใหม่หรือมีมาตรการป้องกัน ไม่ให้หุ้นใหม่เข้ามาทำร้ายนักลงทุนซ้ำรอย
ส่วนคนที่หลวมตัวจองซื้อและ "ติดดอย" หุ้นใหม่ ถือเป็นคราวซวยแล้วกัน เพียงแต่ใครถือหุ้น ETE ไว้ ถือว่าซวยหนักกว่า
เพราะเงินที่ลงทุนไว้ 100 บาท ตอนนี้ตีมูลค่าเหลือประมาณ 20 บาทเท่านั้น นี่แหละเป็นผลงานการรับหุ้นใหม่ของตลาดหลักทรัพย์