xs
xsm
sm
md
lg

แนวโน้มปี 62 เศรษฐกิจไทยไร้พระเอก ต้องปฏิรูปเต็มสูบหลังเลือกตั้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ชี้ปีหน้าเศรษฐกิจไทยเหนื่อยหนัก ไร้พระเอกขี่ม้าขาว เหตุช่องว่างคนจน-คนรวย กว้างมากขึ้นการบริโภคของคนไทยระดับกลาง-ล่าง โตน้อย หรือติดลบ การเติบโตทางเศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำของรายได้ ธุรกิจ SME และฐานรากยังอ่อนแอ กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม และการขนส่ง เป็นความหวังหลัก ดึงเม็ดเงินต่างประเทศเข้าไทย

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโสสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่าปี 2562 เป็นปีที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ยาก เพราะเรากำลังขาดพระเอกที่พอจะคาดหวังให้เศรษฐกิจไทยเร่งแรง จากการพิจารณาแรงส่งของเครื่องยนต์แต่ละตัว คือ C I G และ X-M จะพบปัจจัยเสี่ยงที่กดดันการเติบโตของแต่ละด้าน ดังนี้

การบริโภคภาคเอกชน (C)

เติบโตโดดเด่นในปี 2561 ราวร้อยละ 5 ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่การบริโภคภาคเอกชนโตเร็วกว่า GDP โดยภาพรวมแม้จะพอหวังได้บ้าง แต่เมื่อดูองค์ประกอบด้านใน กลับพบว่าเกิดจากปัจจัยชั่วคราว คือ การซื้อรถยนต์ สัดส่วนการบริโภครถยนต์อยู่ที่ราวร้อยละ 5 และเติบโตเกือบร้อยละ 20 จากปีก่อน อาจเป็นเพราะถึงรอบการเปลี่ยนรถหลังสิ้นสุดนโยบายรถคันแรกเมื่อ 5 ปีก่อน หรือเพราะกำลังซื้อของคนระดับกลาง-บนยังดี แต่ต้องเข้าใจว่า เราไม่ได้เปลี่ยนรถกันทุกปี สุดท้ายการเติบโตของยอดการขายรถก็จะลดลง คาดว่าจะถึงจุดสูงสุดไตรมาสแรกปี 62 ส่วนจะหวังพึ่งการบริโภคตัวอื่น เพื่อทดแทนก็ยาก เพราะที่ผ่านมา การบริโภคกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนไทยระดับกลาง-ล่าง โตน้อย หรือติดลบกันไปหมด เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และเสื้อผ้า ส่วนที่พอหวังได้เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และการขนส่ง ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวต้นปีหน้า แต่ก็ไม่น่าจะเติบโตแรงเหมือนช่วงครึ่งแรกปีนี้ ก่อนเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตจนนักท่องเที่ยวจีนหาย

การลงทุนภาคเอกชน (I)

พอคาดหวังได้บ้างจากสัญญาณการลงทุนที่ชัดเจนขึ้นกว่าในอดีต เช่น การนำเข้าสินค้าทุนประเภทเครื่องจักร อาจเพื่อทดแทนแรงงานขาดแคลน หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่การลงทุนภาครัฐมีความผันผวนมาก โดยเฉพาะการก่อสร้างภาครัฐที่ล่าช้า และหากโครงการสำคัญถูกเลื่อนออกไป อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชนปีหน้า

การบริโภคภาครัฐ (G)

แม้เติบโตเพียงร้อยละ 2 แต่เริ่มมีนโยบายเพิ่มสวัสดิการให้คนสูงอายุ และคนจน เห็นได้ว่า ส่วนการโอนเงินจากรัฐสู่ประชาชนเติบโตสูง แต่ต้องเข้าใจว่า การแจกเงินช่วยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ เป็นเพียงการช่วยประคองคนกลุ่มระดับล่างไม่ให้มีปัญหาเศรษฐกิจหนักไปกว่านี้ โดยเฉพาะช่วงหลายปีมานี้ที่รายได้ภาคเกษตรหดตัว แม้จะพลิกเป็นบวกได้ในปีนี้ แต่การกระจายตัวในกลุ่มภาคเกษตร ยังไม่ทั่วถึง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรโดยมากยังลดลง ซึ่งมาตรการนี้คงไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ หากไม่สามารถเพิ่มความสามารถของคนเหล่านี้ในการหารายได้เองในระยะยาว เช่น ร่วมกับการฝึกอาชีพ หรือหาตลาดสำหรับสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย หรือตัดตัวแทนคนกลางออกด้วยการขายตรง

การส่งออกสุทธิ X-M

เป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกของปี 61 แต่กลับอ่อนแรงลงช่วงไตรมาสสาม จากการส่งออกที่หดตัวในเดือนกันยายน และจากรายได้ภาคการท่องเที่ยว ที่ชะลอตัว มองไปข้างหน้าปี 2562 สำนักวิจัยฯ คาดว่า การส่งออกยังคงเติบโตได้ราวร้อยละ 3-4 จากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้จะชะลอไปบ้างจากปัญหาสงครามการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน แต่เมื่อปัญหาต่างๆ มีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว ก็น่าจะช่วยสนับสนุนการค้าโลกได้ต่อเนื่อง ปัจจัยเสี่ยงอีกด้านคือสต๊อกสินค้าที่สูงปีนี้ก่อนสงครามการค้า อาจกดดันการนำเข้าของประเทศคู่ค้าในปีหน้า ซึ่งจะมีผลให้การส่งออกไทยโตช้า ส่วนการท่องเที่ยวนั้น คาดว่า นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเติบโตได้ในช่วงต้นปีหน้า เรามองว่า คนจีนยังคงมีทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทย แต่ที่หายไป เพราะอาจยังมีความวิตกกังวลด้านความปลอดภัย แต่แม้จะกลับมาเติบโตได้ ก็คงไม่เร่งแรงเหมือนในอดีต

คาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจ-มุมมองค่าเงินและดอกเบี้ย สำนักวิจัยฯ คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 61 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.0 และจะชะลอลงไปที่ร้อยละ 3.7 ในปี 62 แม้จะลดลงและยังต่ำกว่าศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของประเทศ แต่นับว่ายังสูงกว่าช่วงหลายปีก่อนหน้า

ด้านค่าเงินบาท คาดว่าจะกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประมาณการค่าเงินบาทปลายปี 61 ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และปี 62 ที่ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยสำคัญ คือ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังสูง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่น่าจะเพิ่มขึ้นในตลาดเกิดใหม่ จากความชัดเจนของการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาด จากภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ไม่น่าจะเร่งแรง

ด้านอัตราดอกเบี้ย มีโอกาสสูงที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในอีก 12 เดือนข้างหน้า ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปลายปี 62 อยู่ที่ร้อยละ 2.00

ส่วนคำถามว่าจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ จะเดือนธันวาคมนี้ หรือจะรอมีนาคมปีหน้า เรามองว่าไม่สำคัญนัก ขึ้นอยู่กับว่าเสียงส่วนใหญ่ของ กนง. กังวลอะไร หากกังวลเรื่องการเติบโตที่ยังช้า และมีความเสี่ยง ก็จะรอตัวเลข GDP ไตรมาสสี่ 61 ซึ่งสภาพัฒน์จะรายงานตัวเลขช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ก่อนตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเดือนมีนาคม กรณี กนง. กังวลเรื่องเสถียรภาพตลาดเงินที่มีความเสี่ยงจากดอกเบี้ยต่ำนาน ทำให้นักลงทุนเข้าถือสินทรัพย์เสี่ยงมากเกินไป และประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร อีกทั้งทาง กนง. อาจเตรียมสะสมขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย หรือ policy space ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยสะสมไว้ใช้ลด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อถึงคราวจำเป็น ก็อาจขึ้นดอกเบี้ยเดือนธันวาคมนี้ เพื่อส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้นให้ชัด และหาจังหวะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งกลางปี 62

“เราให้น้ำหนักกรณีแรก คือ การรอดูตัวเลขเศรษฐกิจ โดยมองดอกเบี้ยที่ร้อยละ 1.50 ในปีนี้ และขึ้นครั้งแรกเดือนมีนาคม 61 ส่วนอีกครั้งในช่วงไตรมาสสามปี 62 การขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ ไม่ว่าจะขึ้นช้าหรือเร็ว ก็ไม่น่ากระทบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นการขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รวดเร็วเหมือนในอดีต” ดร.อมรเทพ กล่าว

ขณะที่โอกาสและความท้าทายในปี 2562 นั้น มองว่าปี 2562 เต็มไปด้วยโอกาส และความท้าทาย เพียงแต่ทั้งคู่นั้น เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เช่น ตลาดเกิดใหม่จะยังคงผันผวนเหมือนปีนี้หรือไม่ หรือเมื่อการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ชัดเจนแล้วว่าไม่รีบขึ้น เงินก็น่าจะไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ กรณีการแยกตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษจะเรียบร้อยดี หรือส่งผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ และอาจลามไปสู่ยุโรป แม้ยูโรโซนเองจะสงบขึ้น แต่ปัญหาหนี้ภาครัฐของอิตาลียังสูง และจะเป็นชนวนให้เกิดวิกฤตหนี้ครั้งใหญ่หรือไม่ โดยสรุป เราอยากบอกนักลงทุนว่า อย่าไปตกใจกับปัญหาต่างๆ มากเกินไป เพราะปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เราได้เผชิญกันมาแล้ว และผ่านพ้นไปได้ แต่มีโอกาสและความท้าทายอยู่ 3 ประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ดีในปีหน้า และปีถัดๆ ไป แต่เราเห็นเป็นโอกาสมากกว่าความท้าทาย หรือความเสี่ยง

1.สงครามการค้ายังไม่จบ

แม้ประธานาธิบดีทรัมป์ จะตกลงกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 ไปอีก 90 วัน แต่ไม่ได้แปลว่าสงครามการค้ายุติลง มองต่อไปข้างหน้า สงครามการค้าอาจเปลี่ยนรูปแบบจากการใช้ภาษีนำเข้าเป็นการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี หรือ Non-tariff barriers (NTB) เช่น กฎระเบียบการลงทุน การแก้ปัญหาทรัพย์สินทางปัญญา และการใช้ค่าเงินอ่อนเพิ่มขีดความสามารถการส่งออก ซึ่งไทย และตลาดเกิดใหม่ในอาเซียน อาจได้รับผลกระทบจากการแผ่อิทธิพลของทุนจีน ที่ระบายกำลังการผลิตส่วนเกินในประเทศ ส่วนความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน คงยากที่จะหาทางออกได้ เพราะหากสงบศึก และปล่อยให้เป็นไปดังเช่นที่ผ่านมา ภายในปี 2568 หรืออีกไม่เกิน 7 ปี เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะจีนการเติบโตรวดเร็ว แม้จะชะลอต่ำกว่าร้อยละ 6 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ยังสูงกว่าการเติบโตของสหรัฐฯ ที่ราวร้อยละ 2 ซึ่งสหรัฐฯ คงยอมไม่ได้หากต้องกลายเป็นเบอร์ 2 ทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งการตอบโต้ของสหรัฐฯ คือ การกดดันจีนไม่ให้สามารถเติบโตได้เร็ว ด้วยการขัดขวางการที่จีนจะเป็นใหญ่ด้านเทคโนโลยี ซึ่งการจำกัดการส่งออกของจีนก็จะเป็นหนึ่งในแนวทางที่สหรัฐฯ จะทำต่อไป

2.คาดผลการเลือกตั้งกับเศรษฐกิจไทย-ความเสี่ยงของรัฐบาลเสียงข้างน้อย

การเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจ ผ่านความเชื่อมั่นนักลงทุน และผู้บริโภค และนโยบายภาครัฐที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้วันนี้เราไม่ได้ประเมินผลกระทบของการเลือกตั้งในมุมมองเศรษฐกิจ แต่อยากฝากนักลงทุนให้ลองคิดตามว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจมีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุน และการบริโภคได้ ซึ่งการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ที่ประเทศไทยจะได้รับการยอมรับจากชาติตะวันตก และสามารถเจรจาการค้าเสรี FTA กับยุโรปได้สะดวกขึ้น จะมีการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC แต่ในระยะสั้น อาจมีความผันผวนได้หากนักลงทุนมีความไม่ชัดเจนกับผลการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ที่กำหนดให้วุฒิสมาชิก 250 คนร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากพรรคการเมืองมีคะแนนเสียงรวมกันได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ หรือ 250 เสียง และเมื่อได้เสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกแล้ว คะแนนเสียงเกินครึ่งของทั้งสองสภา หรือ 375 เสียง ก็จะเป็นรัฐบาลที่มีเอกภาพ และมีเสถียรภาพพอจะผ่านร่างกฎหมายสำคัญได้โดยง่าย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ แต่ความเสี่ยงทางการเมืองอยู่ที่ว่า ประเทศไทยจะได้รัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือไม่ นั่นเพราะหากมีพรรคการเมืองรวมกันเกิน 125 เสียง เมื่อรวมกับ สว.อีก 250 เสียง ก็จะสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะนายกรัฐมนตรีอาจจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากที่ได้รับการสนับสนุนจาก สส.ได้ถึง 250 คนได้ แล้วรัฐบาลชุดใหม่นี้จะเดินหน้าผ่านร่างกฎหมายสำคัญๆ โดยเฉพาะกฎหมายด้านงบประมาณได้หรือไม่ หรือจะผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อย่างไร คำถามนี้คงต้องรอตอบหลังรู้ผลการเลือกตั้ง และมีการคัดเลือกตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน และนี่อาจเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติอาจรอความชัดเจนก่อนเข้ามาลงทุนในไทย อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร และจะมีความผันผวนแค่ไหน ผมยังเชื่อมั่นในการกระจายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ลื่นไหลเหมือนกระทะเทฟล่อน หรือ Teflon Thailand ที่แม้จะมีความเสี่ยงทางการเมือง เศรษฐกิจไทยก็จะไม่สะดุดชะงัก เพียงแต่อาจจะชะลอไปบ้างชั่วคราว ก่อนจะฟื้นมาได้ใหม่หลังมีความชัดเจนในที่สุด

3.ต้องปฏิรูปเศรษฐกิจเต็มสูบหลังเลือกตั้ง

หากจะมองเศรษฐกิจไทยในระยะยาว คงหนีไม่พ้นเรื่องการปฏิรูป เราจึงควรตั้งคำถามถึงพรรคการเมืองในประเด็นนโยบายเศรษฐกิจด้วยว่า เขาจะสานต่อ “ประยุทธ์โนมิกส์” ที่เน้นการปฏิรูปการคลัง อุตสาหกรรม และภาครัฐ และสังคม หรือไม่ และจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร การปฏิรูปการคลัง คือ การหาเงินมาใช้จ่ายเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ผ่านการลดต้นทุนด้านการขนส่ง การปฏิรูปอุตสาหกรรม คือ การสนับสนุนอุตสาหกรรมแบบมีเป้าหมายชัดเจน กลุ่ม Thailand 4.0 เพื่อยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้เราก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานโลก และการปฏิรูปภาครัฐ และสังคม คือ การปฏิรูประบบภาษีมีความจำเป็นต่อการเพิ่มรายได้ภาครัฐ และลดความไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทย และเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย นอกจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่ยังควรเน้นการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะยาว โดยเฉพาะด้านการศึกษา และตลาดแรงงาน ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลให้ได้มากขึ้น

โดยสรุป แม้การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2562 ไม่ได้พิจารณาการปฏิรูประยะยาว แต่ก็หนีไม่พ้นที่นักเศรษฐศาสตร์ และนักลงทุนต่างประเทศ จะตั้งคำถามว่า ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่เท่าใด เพราะในวันนี้ เราคงเติบโตได้ราวร้อยละ 3.5-4.0 ซึ่งไม่เพียงพอที่จะหลุดพ้นกับดักประเทศที่มีรายได้ระดับกลาง หรือ Middle Income Trap ไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะสังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว สัดส่วนวัยแรงงานกำลังลดลง การออมเพื่อใช้ยามเกษียณไม่เพียงพอ ทักษะแรงงานยังต้องเพิ่มขีดความสามารถ การเติบโตทางเศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำของรายได้ ธุรกิจ SME และฐานรากยังอ่อนแอ และอีกหลากหลายประการที่รอการแก้ไข ซึ่งตอกย้ำว่า แม้มีสิ่งดีๆ ที่รัฐบาลชุดนี้ได้เดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจไปแล้ว การปฏิรูปเศรษฐกิจยังไม่สิ้นสุด และยังคงต้องฝากความหวังให้กับรัฐบาลชุดต่อไปหลังเลือกตั้งว่าจะเลือกเดินข้างการปฏิรูประยะยาวมากกว่าการใช้นโยบายกระตุ้นระยะสั้นแต่ไม่ยั่งยืน


กำลังโหลดความคิดเห็น