3 พ่อลูก “ตระกูลณรงค์เดช” ตั้งโต๊ะแถลงด่วนปมร้อน ตอบโต้ “ณพ ณรงค์เดช” และพวก ปลอมลายเซ็นโอนหุ้น วินด์ เอนเนอร์ยี่ พร้อมชี้แจงเอกสารหลักฐานการทำธุรกรรมครบถ้วน ลั่นเดินหน้าเอาผิดผู้ที่ปลอมลายมือชื่อโกงธุรกรรมของตนอย่างถึงที่สุด
นายเกษม ณรงค์เดช (บิดา) และนายกฤษณ์ ณรงค์เดช (พี่ชายคนโต) และนายกรณ์ ณรงค์เดช (น้องชายคนสุดท้อง) ตั้งโต๊ะออกแถลงข่าวร่วมกันพร้อมด้วยทีมทนายความ ต่อกรณีของคดีความการฟ้องร้องในข้อหาปลอมแปลงลายเซ็นในการโอนหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH ซึ่งนายณพ ณรงค์เดช (บุตรชายคนกลาง) ได้เข้ามายื่นข้อเสนอต่อครอบครัวให้เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจพลังงาน ซึ่งทางครอบครัวณรงค์เดช ได้อนุมัติเงินเข้าลงทุนประมาณ 2,900 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นจากเจ้าของเดิม คือ Symphony Partners Limited จำนวน 49% จาก Dynamic Link Ventures Limited จำนวน 24.42% และ Next Global Investments Limited จำนวน 24.53% ซึ่งบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 3 แห่งนั้น จดทะเบียนในฮ่องกง และเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ใน Renewable Energy Corporation หรือ REC (ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH) โดยนายณพ ณรงค์เดช ในฐานะตัวแทนครอบครัว “ณรงค์เดช” เจรจาเข้าลงทุนโดยการซื้อหุ้นต่อจาก นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน วินด์ เอนเนอร์ยี่
แต่ต่อมาได้เกิดกรณีพิพาทระหว่าง นายณพ ณรงค์เดช และ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2558 ทำให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงครอบครัวณรงค์เดช ตลอดจนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ถือหุ้น วินด์ เอนเนอร์ยี่ ซึ่งได้มีการฟ้องร้องในหลายข้อหาตามมาอีกหลายครั้ง
โดยนายเกษม ณรงค์เดช ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น พร้อมด้วยทนายความสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ชี้แจงว่าได้มีการปลอมแปลงลายเซ็นของตนในการมอบอำนาจ และโอนหุ้นที่ถือครองอยู่ใน วินด์ เอนเนอร์ยี่ ให้กับ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่าง นายณพ ณรงค์เดช และ นายสุรัตน์ จิรจรัสพร ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่า ตนเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในสถานะไม่สมบูรณ์พร้อม และไม่สามารถควบคุมดูแลกิจการต่อไปได้
“ผมขอยืนยันว่า เอกสารการโอนหุ้นทั้งหมดที่ปรากฏในสื่อที่นายณพ นำมาแสดงนั้น เป็นเอกสารเท็จที่ปลอมแปลงขึ้นมาทั้งสิ้น ซึ่งจากการตรวจรับรองสุขภาพของศูนย์โรงพยาบาลกรุงเทพนั้น ทางคณะแพทย์ได้ให้ใบรับรองลงความเห็นในใบประเมินสุขภาพเมื่อวันที่ 13 พ.ย.2561 ว่ามีความปกติทุกประการ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติวิสัย สามารถทำนิติกรรมทุกอย่างได้ และสามารถเขียนลายมือชื่อของตนเองได้ตามปกติ ไม่ได้หลงลืมหรือป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม และลายเซ็นการโอนหุ้นให้แก่ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ที่ปรากฏในสื่อตามที่นายณพ นำมาแสดงนั้น เป็นหลักฐานปลอมที่นายณพ และพวก ร่วมกันสร้างขึ้นทั้งสิ้น” นายเกษม กล่าว
ขณะที่นายกฤษณ์ ณรงค์เดช กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงปี 2558 นายณพ ได้ขอให้ครอบครัวร่วมลงทุนเข้าซื้อหุ้น บริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อให้ธุรกิจ วินด์เอ็นเนอร์ยี่ เป็นอีกธุรกิจหนึ่งของครอบครัวณรงค์เดช เมื่อครอบครัวตกลงร่วมลงทุนตามที่นายณพ ชักชวน ครอบครัวได้จัดหาเงินและทรัพย์สินหลายรายการให้แก่นายณพ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวระหว่างนายณพ กับสมาชิกในครอบครัว มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นายณพ ได้ใช้ชื่อเสียงของกลุ่มบริษัทเคพีเอ็น และชื่อเสียงของนายเกษม ผู้เป็นบิดา ไปอ้างอิงในการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับ บริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ต่อบุคคลภายนอกว่า การดำเนินการเหล่านั้น เป็นการดำเนินการภายใต้กลุ่มบริษัทเคพีเอ็น ทั้งสิ้น และยังได้ใช้ชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดช ไปยืมเงินคนอื่นอีกด้วย โดยที่ไม่ได้รายงาน หรือชี้แจงรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับการลงทุนให้ครอบครัวได้รับทราบเลย
จนกระทั่งในช่วงต้นปี 2561 สมาชิกในครอบครัวอันประกอบไปด้วยนายเกษม และนายกฤษณ์ ได้รับหมายศาลว่าตนถูกฟ้อง เป็นคดีอาญาร่วมกับนายณพ ฐานโกงเจ้าหนี้ สืบเนื่องจากการที่นายณพ ไปผิดสัญญาซื้อขายหุ้นและไม่ชำระเงินค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ทั้งยังดำเนินการให้มีการยักย้ายจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นวินด์เอ็นเนอร์ยี่ ออกไปยังที่ต่างๆ ซึ่งการถูกฟ้องร้องเป็นคดีความดังกล่าว สร้างความกังวล และนำมาซึ่งความเสียหายต่อชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดช เป็นอย่างมาก ครอบครัวจึงได้ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
“หลังจากถูกฟ้องไม่นาน คุณพ่อได้รับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลฮ่องกง ห้ามมิให้บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด (บริษัทในฮ่องกง) โอนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ไปยังบุคคลอื่น และจากคำสั่งดังกล่าวทำให้คุณพ่อทราบว่า ตนเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด เมื่อทราบความดังกล่าว จึงต้องการที่จะปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลฮ่องกง โดยเคร่งครัด เนื่องจากไม่ต้องการให้ปัญหาที่เกิดขึ้นบานปลายออกไปอีก และต้องการที่จะแก้ไข ตลอดจนหาข้อยุติในเรื่องนี้ให้เป็นไปได้ด้วยดีสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของครอบครัว เจ้าของหุ้นเดิม และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ในบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ด้วย จึงขอให้บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ทำการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อบอกกล่าวความประสงค์ของตนให้กับผู้ถือหุ้น และกรรมบริษัทฯ ทราบ แต่ยังไม่ทันได้มีการเรียกประชุม กลับปรากฏว่า คุณหญิงกอแก้ว นายณพ และนายสุรัตน์ ได้ร่วมมือกันใช้เอกสารปลอม ได้แก่ สัญญาแต่งตั้งตัวแทนที่อ้างว่าได้ทำขึ้นระหว่างคุณหญิงกอแก้ว กับนายเกษม ฉบับลงวันที่ 25 เมษายน 2559 โดยมีนายณพ ลงนามเป็นพยาน สำเนาตราสารการโอนหุ้น และสำเนาใบสำคัญการซื้อขายหุ้นระหว่างนายเกษม กับคุณหญิงกอแก้ว เพื่อดำเนินการโอนหุ้นทั้งหมดที่คุณพ่อกษม ถืออยู่ในบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ไปให้คุณหญิงกอแก้ว เพื่อขัดขวางไม่ให้การดำเนินการที่ตั้งใจไว้ดังกล่าวข้างต้นบรรลุผล” นายกฤษณ์ กล่าว
ซึ่งในกรณีนี้ นายเกษม ได้ยืนยันอย่างหนักแน่น และชัดเจนว่า เอกสารทั้งหมดล้วนเป็นเอกสารปลอมทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผลใดที่ตนจะต้องไปเซ็นสัญญาดังกล่าวตกลงเป็นตัวแทนให้กับคุณหญิงกอแก้ว นอกจากนี้นายเกษม ยังได้นำลายมือชื่อที่แท้จริงของตน และรายงานการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรม และผู้เชี่ยวชาญของต่างประเทศเปรียบเทียบกับลายมือชื่อปลอมให้ผู้สื่อข่าวดู
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการดำเนินคดีความต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ นายเกษม กลับพบอีกว่ามีเอกสารปลอมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นใน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่มาพบในภายหลังอีกหลายฉบับ หนึ่งในนั้น คือ สัญญาซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอร์ยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขายหุ้นให้กับนายเกษม ในราคาเพียง 2,400 ล้านบาท ก่อนที่หุ้นจะถูกโอนต่อไปอีกทอดยังบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ที่ฮ่องกง ทั้งที่หุ้นจำนวนเดียวกันดังกล่าว นายณพ ได้เคยตกลงซื้อจากเจ้าของเดิมเป็นจำนวนเงินถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 21,000 ล้านบาท นายเกษม จึงตกลงใจที่จะยุติการดำเนินคดีที่ฮ่องกง เพราะเมื่อสัญญาโอนหุ้นจากต้นทางเป็นสัญญาปลอม การดำเนินการเรียกร้องสิทธิใดๆ เอากับหุ้นที่ได้มาหลังจากนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป นายเกษม ยืนยันว่า หลังจากนี้จะดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดที่ปลอมลายมือชื่อของตนอย่างถึงที่สุด
ทั้งนี้ เมื่อการจัดการและการบริหารบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ทั้งหมดที่นายณพ ดำเนินการมาเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เกิดปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด ท้ายที่สุด บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด คงไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างที่นายณพ ได้เคยโฆษณาเอาไว้ได้
สำหรับคดีอาญาที่นายเกษม ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว นายณพ และนายสุรัตน์ ในฐานความผิดร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ครอบครัวณรงค์เดช และทนายความ ได้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า คดีความดังกล่าวเป็นคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง และศาลใช้เวลาในการไต่สวนพยาน 2 วัน ไม่ใช่หลายเดือนตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งคำพิพากษาของศาลก็ไม่ได้กล่าวว่า ลายมือชื่อของนายเกษม ในเอกสารพิพาทเป็นลายมือชื่อจริง โดยนายเกษม ได้มอบหมายให้ทนายความเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลแล้ว
ทั้งนี้ สำหรับลายมือชื่อที่ปรากฏในเอกสารทั้งหมดนั้น นอกจากนายเกษม จะยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของศาลยุติธรรมที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์เอกสารมานานถึง 48 ปีติดต่อกัน ได้มีความเห็นยืนยันว่า ลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารเหล่านั้น ไม่ใช่ลายมือชื่อของนายเกษม ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์กว่า 55 ปี และเป็นผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อในคดีที่โด่งดังจำนวนมากทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ตามหลักมาตรฐานสากลกว่า 190 หน้า พร้อมภาพสีกราฟิกเทียบเคียงตัวอย่างลายมือชื่อที่แท้จริงของนายเกษม จำนวน 52 ลายมือชื่อ กับลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารปลอมต่างๆ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด