ทรีนีตี้มองหุ้นไทยเดือนธันวาคมแกว่งในกรอบ 1,600-1,700จุด ชี้ 3 ปัจจัยบวกดันดัชนีคือ สงครามการค้าจีนสหรัฐฯที่คลี่คลาย ขณะที่ Bond yield สหรัฐฯ ทรงตัวในระดับต่ำ หลังเฟดส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยและคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว ส่วนปัจจัยลบคือการปรับลดประมาณการกำไร บจ.ลง และภาคผลิตทั่วโลกทรุด รวมทั้งปัญหาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรป แนะเลือกลงทุนหุ้นค้าปลีก,ยานยนต์,พลังงาน,แบงก์รายตัว ขณะที่เลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และที่อยู่อาศัย
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนธันวาคม แกว่งตัว Sideways โดยมีกรอบแนวรับสำคัญที่ 1,600 จุด และกรอบแนวต้านสำคัญที่ 1,700 จุด ประเมินระดับดัชนีที่เหมาะสมในแง่ของ Valuation อยู่ที่ 1640-1650 จุด ซึ่งเป็นระดับเทียบเท่า Forward PE 14 เท่า
โดย 3 ปัจจัยบวกสำคัญที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดในเดือนนี้ ได้แก่ การเห็นพ้องต้องกันระหว่างสหรัฐฯและจีนในการเลื่อนกำหนดระยะเวลาที่สหรัฐฯจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 200,000ล้านดอลลาร์สหรัฐฯออกไป 90 วันจากกำหนดเวลาเดิมในวันที่ 1 ม.ค. 2562 พร้อมทั้งการที่จีนรับปากจะสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งจำพวกเกษตร พลังงาน เป็นต้น
ประเด็นถัดมาได้แก่การที่ Bond yield สหรัฐฯ ที่น่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ตอบรับคำพูดในเชิง Dovish ที่มากขึ้นของนาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ( Fed) และความเป็นไปได้ที่ Fed จะปรับลดประมาณการ Dot Plot หรือประมาณการอัตราดอกเบี้ยปีหน้าในการประชุมวันที่ 18-19 ธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ดัชนีหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นในมิติของ Earning yield gap และน่าจะทำให้แรงขายของนักลงทุนต่างชาติเบาบางลงในช่วงถัดไปและ ส่วนประเด็นสุดท้ายได้แก่การที่ราคาน้ำมันดิบที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามความคาดหวังต่อการส่งสัญญาณการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การทยอยปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของนักวิเคราะห์ ภายหลังการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/61 เสร็จสิ้น ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยในแง่ของ P/E อาจยังดูไม่น่าสนใจมากนัก ขณะที่ภาคการผลิตทั่วโลก (Global PMI) ที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องและอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยสงครามการค้า ตราบใดที่ดัชนีดังกล่าวยังคงปรับตัวลง มองว่าการปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังคงเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้ปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นปัญหาร่างงบประมาณฉบับใหม่ของอิตาลี โดยจะต้องดูว่ารัฐบาลผสมของอิตาลีจะยอมอ่อนข้อต่อสหภาพยุโรป (EU) หรือไม่ รวมถึงประเด็น Brexit ของอังกฤษ ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนในระดับสูง โดยจะต้องดูว่าร่างข้อตกลงล่าสุดจะผ่านความเห็นชอบของสภาอังกฤษหรือไม่
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในเดือนธันวาคมนี้ แนะนำนักลงทุนที่แบ่งขายทำกำไรไปแล้วบริเวณดัชนี 1,640-1,650 จุด โดยเน้นถือหุ้นในส่วนที่เหลือต่อ และรอขายทำกำไรหากดัชนีปรับขึ้นไปยังบริเวณกรอบแนวต้านด้านบนที่ 1,700 จุด
“กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนประจำเดือนธันวาคมได้แก่ 1.กลุ่มค้าปลีก เช่น ROBINS เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศยังคงมีสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง 2.กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ แนะนำหุ้น SAT ที่ราคาปรับตัวลงมาแรงมาก สวนทางกับยอดผลิตรถยนต์ที่ยังเติบโตโดดเด่น 3.กลุ่มพลังงาน เลือก PTTEP เนื่องจากประเมินว่าราคาน้ำมันที่ระดับปัจจุบันมี Upside มากกว่า Downside แล้ว และ 4.กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL, KTB โดยหาก กนง. มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค.นี้ ซึ่งดูเหมือนจะมีโอกาสมากขึ้น ภายหลังธนาคารกลางเกาหลีใต้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา”
ส่วนกลุ่มที่ยังคงแนะนำให้ลดหรือเลี่ยงการลงทุนในช่วงนี้ ได้แก่ 1.หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ สนามบิน สายการบิน โรงแรม รวมถึงบริษัทที่ขายสินค้าและบริการที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง 2.กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยสงครามการค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอตัวลง 3.กลุ่มที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีความเสี่ยงมากขึ้นที่ กนง. จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19 ธันวาคมนี้