ออลล่า เปิดแผนธุรกิจปี 62 ตั้งเป้ารายได้โต 10% ประเมินภาครัฐและเอกชนแห่ลงทุนขานรับปัจจัยบวกการเลือกตั้ง และการผุดของ EEC หนุนภาคอุตสาหกรรมฟื้น เดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานในกลุ่มรถไฟฟ้า โรงไฟฟ้า ปิโตรเคมี หวังเติม Backlog ให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีจำนวน 412 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจใหม่ “Automated Warehouse” สดใสตามเทรนด์ลอจิสติกส์ กลายเป็นธุรกิจดาวรุ่ง
นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล่า จำกัด (มหาชน) หรือ ALLA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดทำแผนธุรกิจปี 2562 ตั้งเป้าหมายรายได้คาดว่าจะเติบโตราว 15% เนื่องจากประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจะกระเตื้องขึ้น การลงทุนของภาครัฐ และเอกชน จะฟื้นตัวภายหลังการเลือกตั้ง รวมถึงเห็นความคืบหน้าของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดความต้องการใช้อุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุในโรงงานอุตสาหกรรม ในส่วนของงานเครน และรอกไฟฟ้า อุปกรณ์ช่องโหลดสินค้า และประตูอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ
ในปี 2562 บริษัทฯ จะเดินหน้าเข้าร่วมประมูลงานในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อคาดหวังเพิ่มมูลค่างานในมือ (Backlog) ให้เพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาส 3/2561 มีจำนวน 412 ล้านบาท ซึ่งมูลค่างานดังกล่าวจะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2561 ไปจนถึงปี 2562
ขณะเดียวกัน ในส่วนของธุรกิจระบบขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติ “Automate Warehouse” นั้น เป็นไปในทิศทางที่ดี และมีความต้องการสูงสอดคล้องต่อทิศทางการเติบโตของธุรกิจลอจิสติกส์ โดยเฉพาะภายหลังได้รับความไว้วางใจจากบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ให้เข้าไปดูแลงานระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse System Provider) โดยคาดว่างานจาก CPALL จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของร้านสะดวกซื้อ 7-11
สำหรับความคืบหน้าในการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 และเริ่มส่งตัวแทนผู้บริหารคนไทยเข้าไปดูแลตั้งแต่ต้นปี 2562 ทำให้จะเริ่มเห็นผลเชิงบวกตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 43.86 ล้านบาท เติบโต 16.21% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 37.74 ล้านบาท โดยมีรายได้ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 ที่ 450 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 2% และมีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 14% อัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.25 เท่า