xs
xsm
sm
md
lg

“สตางค์ คอร์ปอเรชั่น” ลุยสร้าง Digital Asset Ecosystem ให้แกร่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สตางค์ คอปอร์เรชั่น ลุยสร้าง Digital Asset Ecosystem คาดไตรมาส 2 ปล่อย Satang App และ Satang Shop ร้านค้าที่รับแลกสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ หรือสกุลเงินดิจิทัล ตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย

นายปรมินทร์ อินโสม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่มีความเคลื่อนไหวสำคัญเกี่ยวกับ Cryptocurrency มาตลอดทั้งปี ตั้งแต่การระดมทุนผ่านเหรียญดิจิทัล (ICO : Initial Coin Offering) ของบริษัทไทยรายแรก หรือการที่ ก.ล.ต. ประกาศ 8 รายชื่อผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามบทเฉพาะกาล เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ และส่งท้ายด้วยงาน Money Expo 2018 มหกรรมการเงินใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมงานจะได้สัมผัส “โลกคริปโต” และเรียนรู้กระบวนการเทรดจริง โดยมีบูท Satang Pro ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) รายเดียวที่ได้เข้าร่วมงานในปีนี้

“ตั้งแต่ปี 2009 ที่เริ่มมี Cryptocurrency กระแสเงินดิจิทัลก็เริ่ม “เขย่าโลก” การลงทุนมาเรื่อยๆ กระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่ราคาพุ่งขึ้นไปได้ถึงกว่า 20,000 เหรียญสหรัฐ แม้ในช่วงที่ราคาเริ่มตกลง กระแสความสนใจในการลงทุน Cryptocurrency ก็ยังคงอยู่ เพราะหลายคนมองว่า แต่ละสกุลเงินดิจิทัลกำลังปรับฐานเพื่อเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริง (Valuation) สุดท้ายราคาของเหรียญดิจิทัลสกุลใหญ่ๆ ของโลกจะเริ่มกลับมาได้อีกครั้ง เพราะเงินสกุลดิจิทัลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้จ่ายแทนเงินสด และใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนอย่างแพร่หลายใน 1-2 ปีข้างหน้า”

“ปีหน้าผมมองว่า ทั่วโลกจะมีการใช้ Cryptocurrency เติบโตในวงกว้าง เนื่องจากจะมีร้านค้าที่รับเงินสกุลดิจิทัลเพิ่มขึ้น จะมีการส่งเหรียญดิจิทัลข้ามประเทศมากขึ้น เพราะช่วยลดขั้นตอน และความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และยังคงมีความนิยมเทรดคริปโตในกระดาน (Exchange) ขณะที่ในไทยน่าจะเห็นความนิยมในการใช้คริปโตเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนมากกว่า”

คำแนะนำในการเทรดคริปโตสำหรับมือใหม่ให้เริ่มจากการเทรด Cryptocurrency 7 สกุลหลักที่ทาง ก.ล.ต.ได้ให้รายชื่อไว้ ซึ่งเป็นเหรียญที่ในเชิงเทคนิคได้มีการพิสูจน์มาแล้วระดับหนึ่งว่าเชื่อมั่นในการใช้งาน และมีความนิยมในการเทรด โดยนักลงทุนสามารถเลือกซื้อขายเหรียญดิจิทัลทั้ง 7 สกุลนี้ ได้บนกระดานซื้อขายของ Satang Pro ซึ่งในช่วงแรกนี้ มูลค่าการเทรดต่อวันประมาณ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 100 ล้านบาทต่อวัน

จุดเด่นของ Satang Pro ได้แก่ เป็นกระดานเทรดที่เปิดตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง เชื่อมต่อตรงกับตลาดโลก มีปริมาณการเทรด เคลื่อนไหวตลอดเวลา พร้อมให้เทรดได้ภายใน 30 วินาที หลังจากโอนเงินเข้าบัญชีผู้ใช้งาน ทำให้ไม่พลาดโอกาสทำกำไรในตลาด ซึ่งถือได้ว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของการลงทุน นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้นให้แก่นักลงทุน โดยสามารถถอนเงินกำไรออกจากกระดานเทรดกลับเข้าสู่บัญชีธนาคารที่ผูกไว้ ซึ่งจะได้รับเงินทันทีภายใน 30 วินาที ฝ่าย Customer Support พร้อมบริการและแก้ปัญหาให้ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน และสมัครฟรี เริ่มเทรดได้ทันที โดยใช้เงินลงทุนขั้นต่ำแค่หลักร้อย

“เราให้ความสำคัญต่อเรื่องความปลอดภัย (Security) ของระบบมาก เราเป็นรายแรกที่ยื่นขอมาตราฐาน ISO 27001 ระบบสารสนเทศโลกด้านการดูแลความปลอดภัย ระบบซื้อขาย และเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้า เพราะเรามองว่า มาตรฐานนี้จะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า กระบวนการทำงานของเรามีความปลอดภัย และมีมาตรฐานเพียงพอ ดังนั้น นักลงทุนจึงสามารถอุ่นใจได้ในความปลอดภัย และโปร่งใสของแพลตฟอร์มของเรา”

ทั้งนี้ นักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ หรือคนรุ่นใหม่สนใจอยากรู้จัก และสัมผัสโลกการลงทุน ด้วย Cryptocurrency ผู้บริหารหนุ่มเชิญชวนให้แวะไปที่บูท Satang Pro ในงาน Money Expo 2018 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 29 พ.ย.-2 ธ.ค.นี้ พร้อมรับ DEMO ที่มีเงินสกุลดิจิทัล มูลค่า 1 ล้านบาทให้ไปทดลองเทรด เพื่อเสริมสร้างความรู้ เตรียมความพร้อม และสร้างภูมิคุ้มกันก่อนจะลงทุนจริง

“ทุกคนฟังมาเยอะเกี่ยวกับ Cryptocurrency โอกาสนี้คุณจะได้เข้าถึงและเข้าใจอย่างแท้จริง ยิ่งจังหวะนี้ราคาเหรียญอยู่ในขาลง ถือเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะเข้ามาศึกษา เพื่อจะได้มีความพร้อมที่เข้าไปลงทุนในช่วงขาขึ้นรอบถัดไป แล้วถึงคุณไม่เริ่มศึกษาวันนี้ อีก 2-3 ปีข้างหน้าเหรียญดิจิทัลนี้ก็จะเข้ามามีบทบาทกับคุณแน่นอน เพราะเทคโนโลยีนี้มันใกล้ตัวเรากว่าที่ทุกคนคิด”

นายปรมินทร์ เสริมว่า ช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า บริษัทฯ มีแผนจะเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2 ตัว ได้แก่ Satang App หรือกระเป๋าเงินเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล Satang Wallet และ Satang Shop ร้านค้าที่รับแลกสินค้า และบริการด้วยสินทรัพย์ หรือสกุลเงินดิจิทัล เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแบบครบวงจรแก่ลูกค้า โดยลูกค้าจะสามารถใช้ Cryptocurrency ในกระเป๋าดิจิทัลนี้ได้เพื่อการลงทุน และเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งในช่วงแรกปลายทางจะได้รับเป็นเงินบาทก่อน แต่ในเฟสถัดไป เมื่อคนยอมรับเหรียญคริปโตมากขึ้นแล้ว ปลายทางสามารถเลือกรับเป็นสกุลดิจิทัลได้ โดยทั้งนี้ บริษัทฯ ถือเป็นเจ้าแรกในไทยที่มีทั้งบริการ Crypto Exchange และ Crypto Wallet

สำหรับเป้าหมายของบริษัทฯ ผู้บริหารหนุ่มตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้นำด้านการให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่เงินสกุลดิจิทัลอีกต่อไป แต่หมายรวมถึงทุกสินทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้ด้วยการระดมทุนผ่าน ICO หรือออก “Token” (Tokenization) อันเป็นทิศทางที่น่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แล้วถ้าเกิดขึ้นได้จริง นั่นหมายถึงเจ้าของสินทรัพย์คนไทยจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้จากทั่วโลก

“เรามองว่า เราอยากจะเป็นคนทำธุรกิจที่สร้างอุตสาหกรรมนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเราไม่ได้มองที่ผลประโยชน์อย่างเดียว แต่เราพยายามสร้างอุตสาหกรรมนี้เพื่อแข่งกับต่างประเทศเนื่องจากเทคโนโลยี Cryptocurrency เป็นเทคโนโลยีใหม่ทั้งในไทย และต่างประเทศ ดังนั้น โอกาสที่สตาร์ทอัปไทยจะสามารถพัฒนาการใช้งานเทคโนโลยีนี้ให้ทัดเทียมกับต่างประเทศก็เป็นได้ แต่กฎหมายไทยต้องเอื้อให้เราเติบโตแข็งแรงในประเทศให้ได้ก่อน เราจึงจะสามารถขยายไปต่างประเทศได้ ซึ่งนี่ก็เป็นเป้าหมายในใจของผมที่อยากไปสร้างธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อบอกว่า Satang มาจากประเทศไทย”

สุดท้ายนี้ ปรมินทร์ มองว่า ความท้าทายหลักในปีหน้ามี 2 ประเด็น เรื่องแรก คือ กฎหมายที่บางส่วนยังไม่ชัดเจน และบางส่วนก็มีแนวโน้มจะเป็นอุปสรรคถ้าถูกผลักดันออกมา เช่น ภาษีเงินดิจิทัล ร้อยละ 15 ส่วนอีกความท้าทาย คือ คู่แข่งจากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่จะมีทุนหนากว่า นี่จึงเป็นเหตุผลให้ “สตางค์ คอร์ปอเรชั่น” ต้องเร่งพัฒนาและรีบสร้างฐานลูกค้า รวมถึงเตรียมแผนระดมทุน เพื่อเตรียมต่อสู้กับบริษัทต่างชาติที่อาจจะเข้ามาบุกตลาดไทยในปีหน้า โดยเริ่มจากปลายเดือนนี้ บริษัทฯ เตรียมจะทำ STO (Security Token Offering) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญทางธุรกิจ


กำลังโหลดความคิดเห็น