ระยะนี้มีข่าว เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำด้านหลักทรัพย์ หรือเจ้าหน้าที่มาร์เก็ตติ้ง โกงเงินลูกค้ากันออกมาถี่ยิบ ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบการเป็นผู้ให้คำแนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 2 ราย ในความผิดสร้างหลักฐานเท็จ ทุจริตเงินลูกค้า
ผู้ให้คำแนะนำด้านการลงทุนด้านหลักทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทย 2 ราย ที่ถูกเพิกถอนความเห็นชอบการเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนคนละ 10 ปี ประกอบด้วย นางสาวสุรสา มุ่งถาวร และ นายภัทราวุธ ธัญญเจริญ
พฤติกรรมความผิดของนางสาวสุรสาคือ ชักชวนให้ลูกค้าซื้อกองทุน และถอนเงินจำนวนมากจากบัญชีลูกค้า แต่ไม่ได้ซื้อกองทุนตามที่ลูกค้าต้องการ โดยโอนเงินไปเข้าบัญชีที่เปิดไว้ในชื่อบุคคลอื่น นอกจากนั้นยังลักลอบทำรายการ ขายกองทุนของลูกค้า หมุนเวียนเงินจากลูกค้ารายอื่นคืนในบัญชีลูกค้าอีกหลายราย รวมทั้งมีพฤติกรรมอำพรางการจัดทำเอกสารซื้อขายกองทุนและรายการถอนเงินอันเป็นเท็จ
ความเสียหายที่นางสาวสุรสาสร้างขึ้น รวมเป็นเงินกว่า 17 ล้านบาท
ส่วนนายภัทราวุธ ได้จัดทำเอกสารการขายคืนกองทุนอันเป็นเท็จ ปลอมแปลงสมุดบัญชีเงินฝากของลูกค้า ทำรายการขายคืนกองทุนจำนวน 9 ล้านบาท แล้วให้พนักงานรายอื่น ถอนเงินจากการขายคืนกองทุน ก่อนฝากเงินเข้าบัญชีลูกค้าที่เป็นนอมินีของตน เป็นเงิน 8.75 ล้านบาท และยังลักลอบถอนเงินจากบัญชีเงินฝากลูกค้ารวม 6 ราย โดยวางแผนกระทำความผิดอย่างเป็นขบวนการมีความซับซ้อน
สำหรับความผิดของนายภัทราวุธ ทำให้นางสาวปาริชาติ พุ่มนวม ผู้จัดการสาขาธนาคารกสิกรไทย ที่นายภัทราวุธทำงานอยู่ ต้องติดร่างแห่ไปด้วย เพราะลงชื่อกำกับรายการถอนเงินสด 9 ล้านบาท ของลูกค้านายภัทราวุธ โดยไม่ได้ตรวจสอบใบคำขอถอนเงิน และไม่ได้ติดตามที่มาที่ไปของรายการถอนเงินสด ซึ่งเป็นการละเลยการตรวจสอบตามสมควร จึงถูกพักการเป็นผู้จัดการสาขาเป็นเวลา 2 เดือน
ธนาคารกสิกรไทยได้เลิกจ้าง ผู้ให้คำแนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ ที่โกงลูกค้าทั้ง 2 รายออกแล้ว และดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนลูกค้าที่ได้รับความเสียหาย ธนาคารได้ชดใช้เงินคืนทุกราย
ก่อนหน้านี้ ก.ล.ต.ได้สั่งลงโทษ นางสาวจัสมิน ดินแดง เจ้าหน้าที่มาร์เก็ตติ้ง ที่โกงลูกค้า โดยใช้บัญชีลูกค้าสั่งซื้อขายหุ้นเพื่อตัวเอง ชักชวนลูกค้าลงทุนหุ้นใหม่และกองทุนที่ไม่มีอยู่จริง มีลูกค้าได้รับความเสียหายรวม 19 ราย วงเงินความเสียหาย 112 ล้านบาท ขณะกระทำความผิดสังกัดอยู่ใน บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า จำกัด
การฉ้อฉลโกงเงินลูกค้าของเจ้าหน้าที่มาร์เก็ตติ้งเกิดขึ้นตลอด แต่ในอดีตนาน ๆ จะมีกรณีเสียที แต่ปัจจุบันเกิดขึ้นบ่อยมาก สะท้อนถึง พฤติกรรมมาร์เก็ตติ้งโดยรวมที่เปลี่ยนไป ซึ่งอาจเป็นผลพวงของภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้คนได้รับแรงกดดัน และไม่มีทางเลือก จนยอมทำผิดกฎหมาย พร้อมเสี่ยงกับคุกตะราง
เพราะการฉ้อฉลเงินลูกค้าแต่ละรายที่เป็นคดีขึ้นมา เจ้าหน้าที่มาร์เก็ตติ้งย่อมประเมินได้อยู่แล้วว่า ผลจะออกมาอย่างไร เรื่องจากวิธีการฉ้อโกงไม่ได้ซับซ้อน ในที่สุดต้องถูกจับได้
เจ้าหน้าที่มาร์เก็ตติ้งแต่ละรายที่ก่อคดี ไม่ว่าจะสังกัดธนาคารหรือสังกัดบริษัทโบรกเกอร์ ล้วนมีลูกค้ารายใหญ่ในมือ ดูแลรับผิดชอบวงเงินนักลงทุนนับสิบล้านบาท หรือระดับร้อยล้านบาท ซึ่งน่าจะมีรายได้ที่ดี แต่ไม่รู้ว่า มีเหตุจำเป็นอย่างไร จึงโกงลูกค้า ทำให้อนาคตดับวูบลง
ปรากฎการณ์โกงลูกค้าของมาร์เก็ตติ้ง ที่เป็นคดีถี่ยิบในระยะนี้ เป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวัง การใช้บริการมาร์เก็ตติ้ง อย่ามอบหมายความไว้วางใจมากเกินไป ต้องตรวจสอบเอกสารการทำธุรกรรมอย่างละเอียด แม้จะเป็นลูกค้าใช้บริหารกันมายาวนานก็ตาม
เพราะเศรษฐกิจที่ซบเซา กำลังกดดันให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม จากคนดีอาจเป็นคนร้าย จากคนที่ไว้ใจได้ อาจกลายเป็นคนที่คตโกง
มาร์เก็ตติ้งที่ก่อคดีโกงลูกค้าอย่างถี่ยิบในระยะนี้ อาจเป็นดัชนีชี้วัดปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งกดดันให้คนไม่มีทางเลือก
ต้องโกงเพราะความจำเป็น และระบบอะไรก็ป้องกันไม่ได้เสียด้วย
