ความระหองระแหงระหว่างนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยหรือสมาคมโบรกเกอร์ ผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กับ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียเวลท์ จำกัด ยกระดับกลายเป็นสงครามใหญ่ขึ้นแล้ว
เมื่อผู้บริหาร “เอเชียเวลท์” ประกาศเปิดศึกอย่างเป็นทางการกับนางภัทธีรา
นางสาวชญาณี โปขันเงิน ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ เอเชียเวลท์ จำกัด ซึ่งคร่ำหวอดในวงการธุรกิจหลักทรัพย์มานาน เปลี่ยนสังกัดที่ทำงานมานับไม่ถ้วน ได้ยื่นคำร้องเรียนถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้พิจารณาการดำรงตำแหน่งของนางภัทธีรา ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตำแหน่งนายกสมาคมโบรกเกอร์
ข้อร้องเรียนได้ตั้งประเด็นความเหมาะสมการดำรงตำแหน่งของนางภัทธีรา ทั้งกรรมการและประธานอนุกรรมการวินัย ผู้พิจารณาตัดสินลงโทษบริษัทหลักทรัพย์อื่น ซึ่งอาจเกิดปัญหาเลือกปฏิบัติ
แต่บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส ฯ ที่นางภัทธีราเป็นผู้บริหารสูงสุด ถูกตลาดหลักทรัพย์ลงโทษ ในความผิดปล่อยให้นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้น โดยไม่มีหุ้นในความครอบครองเช่นเดียวกับโบรกเกอร์อีกหลายราย
นอกจากนั้นยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของสมาคมโบรกเกอร์ ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งตั้งประเด็นการพิจารณาโครงสร้างคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ที่เลือกจากตัวแทนสมาคมโบรกเกอร์ 5 คน ซึ่งนางภัทธีรา เป็นประธานกรรมการสรรหาและคณะกรรมการชุดนี้ มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับนางภัทธีรา ดังนั้นโอกาสในการคัดสรรผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ อาจไม่มีความเป็นกลางเพียงพอ
นางสาวชญาณียังอ้างกระแสข่าวว่า มีบุตรหรือธิดาของนางภัทธีรา เป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. จึงอยากให้เลขาธิการและกรรมการ ก.ล.ต พิจารณาว่า สมควรหรือไม่ และจะมีการป้องกันความขัดแย้งของผลประโยชน์ ระหว่างบุพการีและบุตรธิดาที่ตำแหน่งหน้าที่สามารถเอื้อประโยชน์ต่อกันได้อย่างไร
หลังจากหนังสือร้องเรียนของนางสาวชญาณีถูกเผยแพร่ นางภัทธีราได้ออกคำชี้แจงทันที โดยตอบโต้แทบจะทุกข้อกล่าวหา
ศึกระหว่างสองผู้บริหารสุภาพสตรีของสองโบรกเกอร์ ได้ประกาศแล้ว
ท่ามกลางความสนใจในแวดวงธุรกิจหลักทรัพย์ เพราะไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งรุนแรง ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายกันเหมือนครั้งนี้มากก่อน
ชนวนศึกปะทุขึ้นจากคดีที่ตลาดหลักทรัพย์ สั่งปรับ บล.เอเชียเวลท์ เป็นเงิน 5.85 ล้านบาท ในความผิดฐานปล่อยให้ลูกค้าสั่งขายหุ้น โดยไม่มีหุ้นในความครอบครอง หรือ NEKED SELL ซึ่งต่อมา บล.ดีบีเอส ฯ และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ก็ถูกปรับในความผิดเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับโบรกเกอร์ใด แต่ใครทำผิดลงโทษหมด
การถูกปรับในความผิด NEKED SELL สร้างความไม่พอใจให้ บล.เอเชียเวลท์ โดยได้ยื่นอุทธรณ์ และแสดงท่าทีตอบโต้บทลงโทษของตลาดหลักทรัพย์
รวมทั้งโจมตีตัวแทนโบรกเกอร์ที่เป็นกรรมการพิจารณาโทษทางวินัยโบรกเกอร์ ในทำนองกลั่นแกล้งเลือกปฏิบัติ เพียงแต่ไม่ได้ระบุชื่อนางภัทธีราเท่านั้น
บล.เอเชียเวลท์ตั้งขึ้นมาประมาณ 5 ปี โดยกลุ่มนายพิชิต อัคราทิตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ชื่อกระฉ่อนในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ปัจจุบันเป็นโบรกเกอร์ติดอันดับ 1 ใน 5 ที่มีมูลค่าซื้อขายหุ้นสูงสุด
แต่เป็นโบรกเกอร์ที่มีข่าวฉาวโฉ่อยู่บ่อยครั้ง โดยกลางปี 2560 นายชยันต์ อัคราทิตย์ น้องชายนายพิชิตและนางชญานี เคยถูก ก.ล.ต.กล่าวโทษในความผิดปกปิดบิดเบื้องข้อเท็จจริง กรณีการใช้ข้อมูลภายในแสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น ถูกพักใบอนุญาตการเป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งน่าจะพ้นโทษแล้ว
หลังจากนั้น บล.เอเชียเวลท์ ถูกตลาดหลักทรัพย์สั่งปรับ ฐานปล่อยให้ลูกค้าต่างชาติขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นในครอบครอง ซึ่งฝ่ายบริหารบริษัทโต้แย้งไม่ยอมรับความผิด
ผู้บริหาร บล.เอเชียเวลท์ แต่ละคน ไม่ใช่ธรรมดา หัวหมอเหมือนกัน โดยนายชยันต์ เคยยื่นฟ้องศาล ดำเนินคดี นายรพี สุจริตกุล ตามความผิดมาตรา 157 ฐานใช้หลักฐานเท็จ สั่งลงโทษนายชยันต์ แต่ศาลยกฟ้อง ซึ่งนายรพี สามารถฟ้องกลับนายชยันต์ในทางอาญาได้ แต่อาจเพราะนายรพี มีความปราณี
ส่วนกรณีการยื่นหนังสือร้องเรียนให้ตรวจสอบนางภัทธีรานั้น เป็นการส่งสัญญาณชัดจากนางชญาณีว่า ต้องการ “เอาคืน” ซึ่งการเรียกร้องให้หน่วยงานที่กำกับดูแลธุรกิจหลักทรัพย์ ตรวจสอบความโปร่งใสของผู้บริหารโบรกเกอร์เป็นเรื่องที่ทำได้ และควรจะต้องกระทำ ถ้าผู้บริหารโบรกเกอร์คนใดมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย
เพียงแต่ข้อร้องเรียนและเรียกร้องให้ ก.ล.ต. ตรวจสอบนางภัทธีรานั้น เป็นท่าทีที่ก้าวร้าวรุนแรง และเป็นการก้าวล่วง สบประมาทการบริหารงาน ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)