บอร์ด "ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ " ไฟเขียวทุ่มงบ 168.80 ล้านบาท ส่งบริษัทย่อย “ดับบลิวพี แก๊ส” ซื้อหุ้น “ไทยแก๊ส คอร์ปอเรชั่น” เสริมฐานทัพให้แข็งแกร่ง ผู้บริหารเผยการลงทุนในครั้งนี้ทำให้ธุรกิจมีศักยภาพทั้งในส่วนของอัตราการเติบโตของทรัพย์สิน ผลกำไร กระแสเงินสด
นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (WP) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 11/2561 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2561 มีมติอนุมัติให้ บริษัท ดับบลิวพี แก๊ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเข้าลงทุนในบริษัท ไทยแก๊ส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (บจก.ไทยแก๊ส) โดยการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของ บจก. ไทยแก๊ส รวมคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของทุนจดทะเบียนของบจก. ไทยแก๊ส ในราคาซื้อขายหุ้นละ 154.24 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 168,802,400 บาท เพื่อประกอบ
ธุรกิจจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการลงทุนที่สร้างโอกาสในการขยายธุรกิจให้กลุ่มบริษัทฯ เนื่องจากบจก.ไทยแก๊ส เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ที่ลำดับที่ 7 ของประเทศ (ข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงาน) โดยมียอดขายประมาณ 83,000 ตันต่อปี และมีคลังเก็บและบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว ขนาดความจุ 1,800 ตัน ตั้งอยู่บนที่ดินที่เช่าจากการนิคมอุตสาหกรรมพิจิตรประมาณ 10 ไร่ และมีบริษัทย่อย ชื่อบริษัท พรีเมียร์ แคร์ริเออร์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจ
บริการขนส่งแก๊สและเชื้อเพลิง โดยบจก. ไทยแก๊ส ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียนของบจก. พรีเมียร์ ซึ่งจะทำให้ WP มีคลังในการเก็บสำรองก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพิ่มขึ้นและสามารถใช้ประโยชน์ได้ทันที
นอกจากนี้สถานที่ตั้งคลังเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลวของ บจก. ไทยแก๊ส ที่จังหวัดพิจิตรนั้น ยังคงมีที่ว่างเหลืออยู่ ซึ่งกลุ่มบริษัท มีแผนจะเพิ่มความจุของคลังดังกล่าวให้เป็น 2,000 ตัน ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเช่าคลังเพื่อฝากสำรองทางกฎหมายลดลงได้อีกพอสมควร นอกจากนี้พื้นที่ดังกล่าวยังถือเป็นพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ในภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ ในการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ในภาคเหนือตอนล่าง โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการประสานทำงานร่วมกัน (synergy) ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในที่สุด อย่างไรก็ตาม แบรนด์ “ไทยแก๊ส”ยังคงอยู่ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
“คณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบ เห็นว่าการลงทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ของกลุ่มบริษัทฯ ที่ได้เปิดเผยขอไว้ในช่วงที่หุ้นของบริษัทกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งการเข้าลงทุนในครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจให้กับบริษัทฯ ทั้งอัตราการเติบโตของทรัพย์สิน ผลกำไร และกระแสเงินสด ที่สำคัญถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่
บริษัทฯ และผู้ถือหุ้นในระยะยาว และการเข้าทำรายการดังกล่าว ถือเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการสถานการณ์การเติบโตของความต้องการใช้แก๊ส LPG ที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม โดยบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อไปในการมองหาโอกาสทางธุรกิจ เพื่อต่อยอดรายได้และสร้างฐานธุรกิจของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งและมั่นคงต่อไปในอนาคต ”