xs
xsm
sm
md
lg

ทิสโก้ เตรียมปรับเป้า GDP ไทย ชี้อาจโตต่ำกว่าคาดหลังส่งออกชะลอ-นักท่องเที่ยวจีนหาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บล. ทิสโก้ ชี้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 อาจโตต่ำกว่าคาด เตรียมปรับเป้า GDP ปี 2561 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 4.4% หลังปัจจัยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน-ค่าเงิน EM อ่อนค่ากดดันส่งออก และนักท่องเที่ยวจีนหายหลังเหตุเรือล่ม


นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า แม้ว่าในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2561 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีในอัตรา 4.9% และ 4.6% ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี โดยได้รับแรงส่งจากการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน ประกอบกับการส่งออก และการท่องเที่ยว ที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง แต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวต่ำกว่าคาด เพราะมีปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศกดดัน อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ติดลบอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน ก.ค.2561 นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐฯ รวมถึงการอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วของค่าเงินของประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้าสินค้าจากไทย

“การส่งออก และท่องเที่ยว ที่เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มีประเด็นหลายอย่างเข้ามากระทบ ซึ่งอาจกลายเป็นความเสี่ยงฉุดให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ โดย TISCO ESU อยู่ระหว่างปรับประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 จากปัจจุบันที่ประเมินว่า ในไตรมาส 4 ของปี 2561 GDP ไทยจะเติบโตในระดับ 4.3% และทั้งปี 2561 จะเติบโต 4.4% ขณะที่ปี 2562 คาดว่า GDP ไทยจะเติบโต 4.2%” นายคมศร กล่าว

โดยในประเด็นการท่องเที่ยวของไทย ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนเกือบหนึ่งในสามของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดนั้นพบว่า หลังเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดนักท่องเที่ยวจีนในเดือน ก.ย.2561 เริ่มหดตัว 14.9% เทียบกับช่วงเดียวของปีที่ผ่านมา หากย้อนกลับไปดูข้อมูลในอดีต เช่น เหตุประท้วงและการรัฐประหารในปี 2557 และเหตุระเบิดพระพรหมในปี 2558 พบว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์เหล่านั้น จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะทรุดลงไปประมาณ 4 เดือน ก่อนเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในเดือนที่ 5 จึงคาดว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนจะยังไม่ฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4 ปี 2561

สำหรับแรงกดดันในส่วนภาคการส่งออกของไทยจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนเริ่มได้รับผลกระทบดังกล่าวแล้ว โดยยอดการส่งออกเดือน ก.ย. 2561 หดตัว 5.2% เทียบกับช่วงเดียวของปีที่ผ่านมา และการส่งออกไปจีนหดตัว 14.1% เทียบกับช่วงเดียวของปีที่ผ่านมา ซึ่ง TISCO ESU คาดว่า การส่งออกสินค้าจากไทยไปยังจีนจะยังถูกกดดันต่อในไตรมาส 4 เนื่องจากปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกสินค้าของจีนเริ่มหมดลง หลังจากภาษีนำเข้าสินค้าก้อนใหญ่มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย.2561

นอกจากนี้ ยังประเมินว่าการอ่อนค่าลงอย่างมากของเงินในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (EM) จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะกดดันการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 4 โดยนับตั้งแต่เดือน ส.ค.2561 ค่าเงินของประเทศ EM หลายประเทศอ่อนค่าลงรุนแรง จากความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จุดชนวนให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค และทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเกิดความผันผวน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้าสินค้าจากไทยที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามาโดยตลอดเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค

อีกทั้ง หากพิจารณาถึงประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยพบว่า ประเทศอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, อินเดีย, พม่า, แอฟริกาใต้, บราซิล และ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันถึงเกือบ 20% ของมูลค่าการส่งออกไทยพบว่า นับจากต้นปีมีการอ่อนค่าลงของค่าเงินมากกว่า 8% เมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้การส่งออกของไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงตามไปด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น