xs
xsm
sm
md
lg

RML ไม่หวั่น “ณพ ณรงค์เดช” ฟ้องพี่น้องเดินหน้าซื้อคอนโดฯ KPNL ต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คะซุฮิโระ เบทซึโนะและเอเดรียน ลี
ไรมอนแลนด์ ไม่หวั่น “ณพ ณรงค์เดช” ฟ้องพี่-น้องขายโครงการใน KPNL โดยไม่ชอบ ยันดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมเดินหน้าตามแผน ระบุเป็นปัญหาภายในครอบครัว พร้อมเดินหน้ากระบวนการเข้าลงทุนต่อคาดเสร็จในสิ้นปี 61 ล่าสุด เปิดขายคอนโดฯ หรูร่วมทุนญี่ปุ่น “โตเกียว ทาเทโม” 2 โครงการ มูลค่ากว่า 9,200 ล้านบาท

นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า จากกรณีที่ นายณพ ณรงค์เดช ได้ยื่นฟ้องศาลแพ่ง ขอให้ดำเนินคดีในข้อหาละเมิดและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการจัดการไรมอนแลนด์ และบริษัท เคพีเอ็น โฮลดิ้ง จำกัด (KPNH) จำเลยที่ 1 พร้อมพวกรวม 5 คน ประกอบด้วย นายกฤษณ์ ณรงค์เดช จำเลยที่ 2 นายกรณ์ ณรงค์เดช จำเลยที่ 3 นายระวี ธาตุนิยม จำเลยที่ 4 และบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด (KPNL) จำเลยที่ 5 จะไม่กระทบต่อกระบวนการเข้าลงทุนของไรมอนแลนด์ และคาดว่ากระบวนการเข้าลงทุนทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2561

“บริษัทยืนยันว่าดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ และบริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนเข้าซื้อทรัพย์สินและกิจการของ KPNL ตามแผนต่อไป และเชื่อว่าจะไม่ติดขัดจากปัญหาการฟ้องร้องดังกล่าว ซึ่งปัจจุบัน บริษัทยังคงดำเนินงานภายในองค์กรตามปกติ ส่วนการฟ้องร้องนั้น เป็นปัญหาของทาง KPNL และถือเป็นปัญหาภายในครอบครับ” นายเอเดรียน กล่าว

สำหรับสินทรัพย์ที่จะได้มาจากการเข้าลงทุนใน KPNL ประกอบด้วย 1.โครงการ S19 ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 20% และอีก 2 โครงการที่สร้างเสร็จ มูลค่าโครงการรวม 2,400 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการส่งมอบ ได้แก่ 1.โครงการ Diplomat 39 และ 2.โครงการ Diplomat สาทร ซึ่งคาดจะส่งมอบโครงการได้ในช่วงไตรมาส 4/2561

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/2561 จะเติบโตสูงสุดของปี เนื่องจากจะมีการรับรู้ยอดขายรอโอน (Backlog) ของโครงการ Diplomat 39 และโครงการ Diplomat สาทร และ ณ สิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทมี Backlog รวมอยู่ที่ 6,900 ล้านบาท เป็น Backlog ของบริษัท จำนวน 5,600 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ประมาณ 300-500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็น Backlog จาก KPNL จำนวน 1,300 ล้านบาท จะรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด
ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์
นายเอเดรียน กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาส 4/2561 บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ และโครงการเทตต์ ทเวลฟ์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น รวมมูลค่าโครงการ 9,200 ล้านบาท

สำหรับโครงการ The Estelle Phrom Phong (ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์) เป็นคอนโดมิเนียม สูง 37 ชั้น บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ จำนวน 157 ยูนิต มูลค่า 5,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือราคาเฉลี่ย 25 ล้านบาทต่อยูนิต เริ่มก่อสร้างไตรมาส 2 ปี 2562 คาดว่าแล้วเสร็จไตรมาส 1 ปี 2562 และ โครงการ เทตต์ ทเวลฟ์ เป็นคอนโดมิเนียม สูง 40 ชั้น บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ จำนวน 238 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 250,000 บาทต่อ ตร.ม. ราคาขายเฉลี่ย 16 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างไตรมาส 2 ปี 2562 คาดว่าแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัทมีแผนพรีเซลล์โครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ณ โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท 24 และ TAIT 12 เปิดจองในวันที่ 3-4 พฤศจิกายนนี้ ที่เซลแกลเลอรีโครงการ The Lofts Silom ซอยประมวญ ถนนสีลม โดยคาดว่าจะมียอดขายในช่วงวันเปิดพรีเซลอยู่ที่ประมาณ 30-40%

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนเจรจาต่อรองราคาซื้อธุรกิจร้านอาหารในประเทศ 1 ราย โดยยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาสำหรับดีลนี้
เทตต์ ทเวลฟ์
ด้าน นายคะทซุฮิโระ เบทซิโนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนมายังภูมิภาคเอเชียแล้ว 5 ประเทศ โดยร่วมทุนกับพันธมิตรในท้องถิ่น ได้แก่ จีน ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบของคอนโดฯ รวมแล้วประมาณ 20 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 100,000 ล้านเยน พม่า ซึ่งเข้าไปลงทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นมาแล้วประมาณ 20 ปี ในรูปแบบของโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และอาคารสำนักงาน คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 40,000 ล้านเยน สิงคโปร์ เป็นการร่วมทุนพัฒนาอาคารสำนักงานกับรัฐบาลสิงคโปร์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 80,000 ล้านเยน อินโดนีเซีย เป็นการร่วมทุนพัฒนาคอนโดฯ ระดับลักชัวรี จำนวน 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านเยน และประเทศไทย เป็นการร่วมทุนกับไรมอน แลนด์ พัฒนาคอนโดฯ ระดับลักชัวรี เบื้องต้น เป็นการลงทุน 2 โครงการดังกล่าวข้างต้น

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาคอนโดฯ ระดับลักชัวรีในประเทศไทยมากขึ้น ปีละประมาณ 2-3 โครงการ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับ RML เพียงรายเดียว ซึ่งมองว่าเป็นองค์กรที่พัฒนาโครงการมีคุณภาพสูง สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดระยะเวลา และเชื่อว่าซัปพลายคอนโดฯ ระดับลักชัวรีในประเทศไทย ยังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าไม่เกิดภาวะล้นตลาดอย่างแน่นอน และสภาวะเศรษฐกิจไทยนับจากนี้ ก็จะมีอัตราการเติบโตมากขึ้น จากปัจจัยทางด้านการเมืองที่ค่อนข้างนิ่ง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการขอใบอนุญาตต่างๆ ก็ดำเนินการได้ง่าย ขณะเดียวกัน การสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ก็จะเป็นการผลักดันให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้นด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น