xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์กรุงเทพรายงานกำไร 9 เดือน เพิ่มร้อยละ 11.1

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยแจ้งกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 จำนวน 27,229 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 จากงวด 9 เดือนปี 2560 โดยมีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 92,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 ซึ่งมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.38 และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ กำไรสุทธิจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิ ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมจากบริการประกันผ่านธนาคาร และบริการกองทุนรวม และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักทรัพย์ ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 42.1 ส่วนในไตรมาส 3 ปี 2561 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 9,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8,161 ล้านบาท

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,021,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากสิ้นปี 2560 จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ สินเชื่อลูกค้าบุคคล และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) รวมอยู่ที่ร้อยละ 3.6 ขณะที่เงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารมีจำนวน 151,515 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่เพียงพอรองรับความไม่แน่นอนและกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้น

ด้านเงินกองทุน หากนับกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2561 รวมเข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 18.3 ร้อยละ 16.7 และร้อยละ 16.7 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด สำหรับส่วนของเจ้าของส่วนที่เป็นของธนาคาร ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 มีจำนวน 404,574 ล้านบาท มูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 211.95 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากภาคการส่งออกที่ยังคงเข้มแข็ง และเศรษฐกิจภายในประเทศที่ขยายตัวดีขึ้น แม้จะเผชิญกับความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า แต่การส่งออกยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยมีตลาดส่งออกที่หลากหลาย การบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวดีกว่าที่คาด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายรถยนต์ที่เร่งตัวขึ้น และรายได้ภาคเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งบางส่วนเกิดจากการขยายกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี มีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการค้า ตลอดจนผลกระทบต่อการค้า และการลงทุนของโลก ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้น

จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าว ธนาคารจึงยังคงแนวทางการบริหารฐานะการเงินด้วยความรอบคอบ และระมัดระวัง ควบคู่กับการรักษาสภาพคล่อง และเงินกองทุน ให้อยู่ในระดับที่สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต และความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้ธนาคารมีเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน
กำลังโหลดความคิดเห็น