ธนาคารทหารไทย (TMB)แจ้งผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 9,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 6,429 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิไตรมาส 3 จำนวน 5,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 179% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 2,003 ล้านบาท โดยธนาคารได้มีการรับรู้กำไรจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้น บลจ. ทหารไทย 65% เพื่อร่วมเป็นพันธมิตรกับ อีสท์สปริง อินเวสต์เมนทส์ (สิงคโปร์) และกำไรจากการเปลี่ยนแปลงการควบคุมจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วม 35% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ (PPOP) อยู่ที่ 26,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลการดำเนินงานหลักยังคงทรงตัว
อย่างไรก็ตาม จาก PPOP ที่สูงขึ้น ธนาคารจึงดำเนินการตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นจากระดับปกติ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ IFRS 9 และเพื่อดูแลคุณภาพสินทรัพย์ ทำให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อหนี้เสีย (Coverage ratio) สูงขึ้นเป็น 157% จาก 143% เมื่อสิ้นปีที่แล้ว
สำหรับผลดำเนินงานหลักงวด 9 เดือน ปี 2561 ทีเอ็มบีขยายฐานเงินฝากเพิ่มขึ้นได้ 4.5% จากสิ้นปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 6.39 แสนล้านบาท ตามการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเงินฝากลูกค้ารายย่อย ผ่านผลิตภัณฑ์หลักอย่าง เงินฝาก “ทีเอ็มบี โน-ฟิกซ์” (TMB No-Fixed) ที่เติบโต 13% หรือ 3.0 หมื่นล้านบาท และเงินฝาก ME Save ซึ่งเป็นเงินฝากรูปแบบดิจิทัล ที่เติบโตได้ 10% หรือ 4.1 พันล้านบาท ด้านสินเชื่อ สินเชื่อคุณภาพเพิ่มขึ้น 3.3% มาอยู่ที่ 6.46 แสนล้านบาท ตามการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะจากสินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น 13% หรือ 1.8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ การขยายสินเชื่อบ้านเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำ และวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ในส่วนของลูกค้าธุรกิจ สินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงเติบโตได้ดีที่ 4% หรือ 9 พันล้านบาท สำหรับสินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นผลมาจากการดำเนินการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของธนาคาร ทำให้ภาพรวม 9 เดือน สินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ด้านส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย หรือ NIM อยู่ที่ 2.96% ลดลงจาก 3.16% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2% มาอยู่ที่ 18,263 ล้านบาท และแม้รายได้ค่าธรรมเนียมชะลอลง 4% แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 127% มาอยู่ที่ 20,929 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 3 ธนาคารมีการบันทึกกำไร 1.2 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้นใน บลจ. ทหารไทย จำนวน 65% ให้กับบริษัท พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย จำกัด เพื่อเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับอีสท์สปริง อินเวสต์เมนทส์ (สิงคโปร์) และกำไรจากการเปลี่ยนแปลงการควบคุมจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วม 35%
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ทีเอ็มบีต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้าโดยไม่ยึดติดกับการธนาคารในรูปแบบเดิมๆ โดยมั่นใจว่า การจับมือกับอีสท์สปริง จะส่งผลดีต่อลูกค้าทั้งของ ทีเอ็มบี และ บลจ. ทหารไทย เนื่องจากอีสท์สปริง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารสินทรัพย์ในระดับโลก และในหลายมิติของการลงทุน ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของ บลจ. ทหารไทย และตอกย้ำกลยุทธ์การให้บริการด้านกองทุนรวม หรือ ‘TMB Open Architecture’ ของทีเอ็มบี โดยลูกค้าของธนาคารจะได้รับบริการด้านการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญในระดับโลก และสามารถเข้าถึงกองทุนรวมชั้นนำจากต่างประเทศที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้า ‘Get More’ หรือ ‘ได้มากกว่า’
ทั้งนี้ ทีเอ็มบี ให้บริการ ‘TMB Open Architecture’ ให้แก่ลูกค้าทุกกลุ่มมาเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว โดยคัดสรรผลิตภัณฑ์กองทุนรวมคุณภาพจากบลจ.ชั้นนำ ทั้งยังขยายความร่วมมือเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคม บลจ. กรุงไทย เป็น บลจ.ล่าสุดที่เข้าร่วม TMB Open Architecture ทำให้ปัจจุบันลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้กับ 9 บลจ.ชั้นนำที่ทีเอ็มบี
ซึ่งกำไรพิเศษที่รับรู้เข้ามา ช่วยหนุนกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ งวด 9 เดือน เติบโต 76% มาอยู่ที่ 26,360 ล้านบาท ทีเอ็มบี จึงถือโอกาสเตรียมความพร้อมรับ IFRS9 ควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบ ผ่านการตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นจากระดับปกติ โดยในไตรมาส 3 ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 9,386 ล้านบาท รวม 9 เดือน ดำเนินการตั้งสำรองฯ ไปแล้วทั้งสิ้น 14,071 ล้านบาท หนุนให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ Coverage ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 157% จาก 143% ณ สิ้นปี 2560 ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพมีจำนวน 20,950 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ 2.69%
พร้อมกันนั้น ได้ดูแลความเพียงพอของเงินกองทุนให้เป็นไปตามเกณฑ์ Basel III โดยอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) อยู่ที่ 17.7% และ 13.8% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 10.375% และ 7.875% ตามลำดับ