xs
xsm
sm
md
lg

TISCO กำไร Q3 เติบโต 15.4%-รับรู้รายได้พิเศษ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทิสโก้แจ้งผลกำไรไตรมาส 3 เติบโต 15.4% จากรายได้ธุรกิจหลัก และการรับรู้กำไรพิเศษ-การขายธุรกิจ ขณะที่สินเชื่อรวมเพิ่ม 1.1% เอ็นพีแอล 2.70%

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2561 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 242 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากรายได้จากธุรกิจหลัก และการรับรู้กำไรพิเศษจากเงินลงทุน และการขายธุรกิจ โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 12.2% จากความสามารถในการรักษาอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรวม และการบริหารจัดการต้นทุนทีมีประสิทธิภาพ ประกอบกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 9% ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรจากเงินลงทุนจำนวน 229 ล้านบาท และมีกำไรจากการขายธุรกิจบัตรเครดิต จำนวน 211 ล้านบาท ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักปรับตัวลดลง 3.1% จากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจที่ลดง

ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 5,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.8% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และการรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลัก รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโต 14.9% จากความสามารถในการรักษาอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรวม และการรับโอนธุรกิจลูกค้ารายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.2% จากทุกภาคธุรกิจ และการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น 17.4% จากการตั้งสำรองหนี้สูญให้แก่สินเชื่อที่เพิ่มขึ้น

ด้านเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 มีจำนวน 240,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,684 ล้านบาท คิดเป็น 1.1% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง และย่อม โดยเป็นสินเชื่อรายย่อยมีจำนวน 181,152 ล้านบาท ลดลง 0.4% จากไตรมาสก่อน สินเชื่อจำนำทะเบียน จำนวน 31,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,130 ล้านบาท คิดเป็น 3.8% สินเชื่อที่อยู่อาศัยมีจำนวน 18,328 ล้านบาท ลดลง 3.3% สินเชื่อบ้านแลกเงินมีจำนวน 2,651 ล้านบาท ลดลง 4.3% สินเชื่อธุรกิจมีจำนวน 40,784 ล้านบาท ลดลง 194 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.5% และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง และย่อม มีจำนวน 15,374 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,532 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.8%

และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.70% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยอัตราส่วนเอ็นพีแอล ของสินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 2.91% สินเชื่อธุรกิจ 1.08% และสินเชื่อเอสเอ็มอี 4.64% โดยรวมมีเอ็นพีแอลทั้งหมด 6,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.75 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นของธนาคารจำนวน 5,913 ล้านบาท และบริษัทย่อยอื่น 556 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น