“ผลิตภัณฑ์ตราเพชร” เตรียมชงบอร์ดบริษัทฯ อนุมัติแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตกลุ่มสินค้าหลังคาคอนกรีต และโครงหลังคาสำเร็จรูป ในเดือน พ.ย.นี้ รองรับแผนขยายตลาดในประเทศและส่งออก หลังเดินเครื่องจักรเกือบเต็ม 100% หวังเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มหลังคาคอนกรีต เป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 25%
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐมวลเบา และบริการหลังการขาย ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จะพิจารณาแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตหลังคาคอนกรีต และโครงหลังคาสำเร็จรูป (Truss) หลังจากกำลังการผลิตหลังคาคอนกรีตในปัจจุบัน มีอัตราการเดินเครื่องจักรเกือบเต็ม 100% ประกอบกับบริษัทฯ มีแผนรุกขยายตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้กลยุทธ์ “สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง” เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และตอบสนองความต้องการใช้สินค้า จากกลุ่มลูกค้าโครงการ และบ้านที่ปลูกสร้างโดยผู้รับเหมารายย่อย
สำหรับแผนการขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ เป็นการรองรับผลิตภัณฑ์หลังคาคอนกรีต CT เพชร รุ่นเวนิส (CT Venice) ที่มีจุดเด่นด้านรูปลอนโค้งสไตล์อิตาลี และโทนสีแบบ Tri Tone Color หรือ 3 เฉดสีในแผ่นเดียว เพื่อทำตลาดภายในประเทศพร้อมทั้งจะใช้ฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มเติมอีกด้วย โดยคาดว่าจากแผนการผลิตดังกล่าว จะช่วยเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มหลังคาคอนกรีต ในอนาคตเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20% ของยอดขายรวมในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลังคา
“การลงทุนครั้งนี้เป็นการขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่ในรอบหลายปีของ DRT เพื่อผลิตสินค้าหลังคาคอนกรีต ที่จะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการทำตลาด หลังจากเราได้พัฒนาการนำเสนอสินค้าและบริการอย่างเป็นระบบภายใต้แนวคิด “สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง” ที่นำเสนอสินค้าตั้งแต่กระเบื้องหลังคา โครงหลังคาสำเร็จรูป อุปกรณ์ติดตั้ง และทีมช่างให้บริการ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการทำตลาดที่ดียิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และยอดขายสินค้ากลุ่มหลังคาคอนกรีต ที่เพิ่มขึ้น” นายสาธิต กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DRT กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ มั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 27% ได้ตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยมาจากช่องทางห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ที่มีอัตราเติบโตที่ดี หลังจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการลงทุนขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง กลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการลงทุนพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าอิฐมวลเบา ก็มีการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ตามแผนงานที่วางไว้