แบงก์ชาติ ย้ำชัดมีอิสระและรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ระบุเพิ่มนำหนักเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน เล็งเรียกสถาบันการเงินเข้าหารือคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย หลัง กนง.เห็นสัญญานชัดแข่งขันปล่อยกู้สูงเกิดความเสี่ยงติดตามสถานการณ์กีดกันการค้าอย่างใกล้ชิต
นายวิรไทย สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการ “สู่ยุคใหม่ของระบบการเงินและธนาคารกลาง”BOT symposium 2018 The Future of Money,Finance,and Central Banking ว่า ในยุคปัจจุบันที่ความสนใจของผู้คนสั้นลง ความสามารถในการอดทนรอคอยผลในระยะยาวลดลง และมักให้ความสําคัญกับประโยชน์เฉพาะหน้ามากกว่าผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจจะ เกิดขึ้นในอนาคต บทบาทหน้าที่ของธนาคารกลางในการเป็นผู้ดูแลรักษาเสถียรภาพในระยะยาวมีความสําคัญมากขึ้น
และในขณะเดียวกันก็มีความท้าทายและแรงกดดันมากขึ้น และความต้องกําไรในช่วงสั้นๆ ความเป็นอิสระในกํารดําเนินงานเป็นสิ่งที่ทําให้ธนาคารกลางสามารถยืนหยัดดูแลรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างมั่นคง ซึ่งความเป็นอิสระของธนาคารกลางนี้ดํารงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อธนาคารกลางมีความรับผิดชอบและความโปร่งใส และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
“เป้าหมายการดาเนินนโยบายการเงินในความ รับผิดชอบของธนาคารกลางนั้นคือส่งเสริมให้การดาเนินเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปโดยดีและมีพัฒนา และ รักษาเสถียรภาพให้คู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ในโลกที่กาลังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว บทบาทสาคัญอีกด้านหนึ่งของธนาคารกลาง คือ บทบาทด้านการพัฒนา ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้ดำเนินการในหลายเรื่องที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการยกระดับระบบการเงินไทย”ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าว
การดำเนินนโยบายปัจจุบัน ธปท.ได้ให้น้ำหนักของเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินมากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงของเงินเฟ้อเริ่มน้อยลง โดยเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในกรอบเป้าหมายจาก 1.2 % เป็น 1.1 % ในขณะที่ความเสี่ยงของเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินมีมากขึ้น เนื่องจากโลกปัจจุบันและทีแนวโน้มเข้าสู่ยุคเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเงิน ที่เป็นโลกไร้พรมแดน การทำเทคโนโลยีเข้ามาใช้และมีบทบาทมาก ธนาคารกลางจำเป็นที่จะต้องกำกับดูแลให้ทวงทัน
สัญญาณความเสี่ยงของสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเวินเริ่มมีความขัดเจนขึ้น คณะกรรมนโยบายการเงิน(กนง.)ให้ความเป็นหว่ง โดยมีการแข่งขันสูง ทำให้ละเลยความระมัดระวังความเสี่ยง ในขณะเดียวกันซัพพลายส่วนเกินของคอนโดและบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีเพิ่มขึ้น ธปท.ได้เตือนสถาบันการเงินไประดับหนึ่งแล้ว และจะมีการเรียกสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าหารือเพื่อออกมาตราการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ส่วน กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.50 % ต่อปีนั้น กนง.เห็นว่ายังมีความจำเป็นการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และจะทยอยลดลง หากจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยตลอด เพราะ กนง.จะพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ปัจจัยต่าง ๆ แต่ละช่วงเวลาเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ตลาดเงินตลาดทุนยังคงมีความผันผวน เนื่องจากความเสี่ยงสงครามการค้าและปัญหาของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บางประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้ามาในไทย เนื่องจากประเทศไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับมีความชัดเจนของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2562 ทำให้มีเงินทุนไหลเข้าส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่ง ธปท.ดูแลใกล้ชิดและยังไม่พบพฤติกรรมการเก็งกำไรที่ผิดปกติ ซึ่งกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเกิดจากสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดการเงินโลกที่มีอยู่จำนวนมาก ไม่ใช่เกิดจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น
ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธปท.จะต้องตอบโจทย์ในยุคปัจจุบันและอนาคตให้ได้ ถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดเงินตลอดทุน ซึ่งธปท.จะต้องเผชิญกับความท้าทาย เมื่อสนับสนุนให้ไทยก้าวไปสู่ยุคสังคมได้เงินสด จากที่ธปท.เป็นผู้ผลิตเงินเอง อนาคตเอกชนจะเป็นผู้ผลิตเวินมาใช้แลกเปลี่ยนเอง โจทย์นี้ท้าทายการดำเนินนโยบายของธปท.มากกว่า
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่กนง.เสียงแตก 5:2 เสียงในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มองส่าไม่ควรที่จะให้มีมติออกมาเป็นเสียงแตกเพื่อไม่ให้ตลาดเกิดความสับสน ซึ่งควรที่จะมีการคุยกันให้จบเป็นเอกฉันท์ อย่างไรก็ตามไม่ได้แปลว่าจะไม่ยอมให้เกิดความเห็นที่แตกต่าง ในการการือควรที่จะมีความเห็นหลายๆมิติ ที่แตกต่างกันได้ แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตยและมีคงามเป็นเอกฉันท์