xs
xsm
sm
md
lg

“คาเธ่ย์” เข้าถือเพิ่ม “ศรีสวัสดิ์” ถึงรอบบริษัทโกยเงินขยายธุรกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน 360 องศา - จับตาศักยภาพ “คาเธ่ย์ ไฟแนนซ์” ช่วยหนุน SAWAD เมื่อบอร์ด “ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น” เตรียมชงผู้ถือหุ้นไฟเขียวขายหุ้นเพิ่มทุนให้ 57 ล้านหุ้น ดันสัดส่วนในมือร่วม 10% แถมด้วยเก้าอี้กรรมการ หลังต้นปีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เฉือนขาย จนรับทรัพย์ 3.4 พันล้าน ด้านโบรกฯ เชื่อมั่นความร่วมมือทางธุรกิจ หนุนเติบโตระยะยาว หลังการปรับโครงสร้างเริ่มแสดงศักยภาพ แม้ราคาหุ้นจะไดลูท แต่แค่เล็กน้อย

น่าจะเป็นสิ่งที่ชินตาสำหรับการเข้ามาร่วมลงทุนของกลุ่มทุนต่างประเทศ กับเจ้าของกิจการไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ เรียกว่าอย่างน้อยก็ทำให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ทำกำไรส่วนตัวจากกิจการของตนเองด้วยการเฉือนหุ้นในมือออกขาย เพื่อเปิดทางรับพันธมิตรทางธุรกิจ

ล่าสุด บมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) ก็ใช้สูตรดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ เพื่อเปิดรับพันธมิตรเดิม โดยเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น อนุมัติการลดทุนจดทะเบียน โดยการลดหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรหุ้นปันผล หลังจากนั้น ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 1.19 พันล้านบาท เป็น 1.25 พันล้านบาท ด้วยการออกหุ้นใหม่ 57 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ให้แก่ Cathay Financial Holding Co.,Ltd. จากไต้หวัน หรือบริษัทในเครือ ที่ราคาเสนอขาย 45 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 2.56 พันล้านบาท

จากดีลดังกล่าว หากลุล่วงไปได้ด้วยดี SAWAD จะมีเงินสำหรับการขยายกิจการเพิ่มเติมอีก 2.57 พันล้านบาท ขณะที่พันธมิตรดั้งเดิมตั้งแต่ช่วงต้นปีอย่าง Cathay Financial Holding (คาเธ่ย์ ไฟแนนซ์ โฮลดิ้ง) จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทเพิ่มเป็น 9.49% จากเดิมที่ 4.99 % และมีสิทธิจะเสนอชื่อบุคคลเข้าเป็นกรรมการบริษัทจำนวน 1 คน และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน Cathay Financial จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ห้ามขายหุ้น (Silent Period) มีระยะเวลาห้ามขายหุ้น 1 ปี โดยภายหลังจากวันที่หุ้นเพิ่มทุนของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบกำหนดระยะเวลา 6 เดือน สามารถทยอยขายหุ้นที่สั่งห้ามขายดังกล่าวได้ในจำนวน 25% ของหุ้นทั้งหมดที่ถูกสั่งห้ามขาย

สำหรับวัตถุประสงค์การเพิ่มทุน SAWAD ชี้แจงว่า เพื่อใช้ขยายธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักประกัน และไม่มีหลักประกันของบริษัท, เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักประกันในต่างประเทศ, เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และเพื่อลดภาระหนี้สินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รวมถึงมีแผนที่จะร่วมกันขยายการดำเนินธุรกิจทางการเงินไปในต่างประเทศระหว่างบริษัท และ Cathay Financial Holding โดย SAWAD กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2561 ในวันที่ 16 พ.ย. 2561 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว รวมถึงพิจารณาอนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการของบริษัทจากเดิม 12 คน เป็น 14 คน พร้อมกับแต่งตั้งกรรมการใหม่ด้วย

สำหรับ Cathay Financial Holdingถือเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่สุด และมีความน่าเชื่อของไต้หวัน ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 1.6 แสนล้านบาท และสินทรัพย์รวมกว่า 10.17 ล้านล้านบาท อีกทั้ง นี่คือการเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมใน SAWAD ครั้งที่ 2 จากครั้งแรกในช่วงต้นเดือน มี.ค.2561 ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทตัดสินใจขายหุ้นให้ 5% แบ่งเป็นการขายหุ้นของ “ฉัตรชัย แก้วบุตตา” ที่ถือโดย Credit Suisse ประมาณ 27.184 ล้านหุ้น และ “ธิดา แก้วบุตตา” ขายหุ้นออกมาทั้งในชื่อของตนเอง และที่ถือโดยคัสโตเดียน อีก 27.184 ล้านหุ้น ในราคา 63.75 บาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินเข้ากระเป๋าประมาณ 3.46 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้บริหาร SAWAD อยากให้นักลงทุนโฟกัส คือ ศักยภาพของบริษัทที่จะแข็งแกร่งขึ้น หลังได้กลุ่มทุนขนาดใหญ่จากไต้หวัน เข้ามาร่วมบริหารธุรกิจ เพราะการเพิ่มทุนรอบนี้ นอกจากจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งฐานะทางการเงิน และความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทแล้ว ยังเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันทั้งในและต่างประทศ โดย Cathay Financial จะสนับสนุนในส่วนเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามา เพื่อรองรับการขยายธุรกิจผ่านฟินเทค เนื่องจากบริษัท และ Cathay Financial มีเป้าหมายชัดเจนที่จะขยายธุรกิจร่วมกันไปในประเทศเพื่อนบ้าน แถบเอเชีย นอกจากนี้ ยังทำให้ในอนาคต ต้นทุนการเงินของกลุ่มศรีสวัสดิ์ จะมีแนวโน้มที่ถูกลงด้วย

ที่ผ่านมา SAWAD เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเข้าซื้อ บริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) (BFIT) และเปลี่ยนชื่อมาเป็น “บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์” ตามด้วยการปรับโครงสร้างทางธุรกิจขนานใหญ่ เพื่อจัดตั้งกลุ่มธุรกิจทางการเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรียกได้ว่าเป็นการซื้อที่ตอบโจทย์ เพราะการซื้อหุ้น BFIT ทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตผ่าน BFIT ได้มากขึ้น ทั้งพอร์ตสินเชื่อ และบทบาทของ BFIT ที่สามารถต่อยอดไปได้อีก ด้วยไลเซนส์ (ใบอนุญาต) ที่คิดอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 36% ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่ดีช่วยให้บริษัทสามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) ทั้งพอร์ตของบริษัทไว้ในระดับสูงเฉลี่ยถึง 20-25% ได้ และด้วยโครงสร้างของ BFIT ที่ทำธุรกิจได้หลากหลาย ยังช่วยเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทในการปรับโครงสร้างทางธุรกิจให้การดำเนินธุรกิจไม่ทับซ้อน โดย SAWAD ให้บริษัทลูกเน้นปล่อยสินเชื่อสัญญาเงินกู้ยืมในหลักประกันทุกประเภท (ยกเว้นจักรยานยนต์) แล้ว ให้ศรีสวัสดิ์ฯ ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อทุกประเภทที่มีหลักประกัน

ปัจจุบัน โครงสร้างของบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีบริษัทลูก 5 บริษัท คือ บริษัท เงินทุนศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ถือหุ้นสัดส่วนล่าสุด 45.34% บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด ถือหุ้น 100% บริษัท ศรีสวัสดิ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 90% บริษัท เอสดับบลิว พี แอสเสท เมเนจเมนต์ จำกัด ถือหุ้น 100% และบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ถือหุ้น 100%

ดังนั้น การได้พันธมิตรอย่าง Cathay Financial Holding เข้ามาร่วมบริหาร นอกจากเงินลงทุนอีก 2.57 พันล้านบาท และเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพ สิ่งที่น่าจะได้เห็นจากความร่วมมือในครั้งนี้ คือ การขยายธุรกิจออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีศักยภาพ ไม่น้อยหน้ากลุ่มธนาคารพาณิชย์

“ธิดา แก้วบุตตา” ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร SAWAD มั่นใจว่าพอร์ตสินเชื่อของบริษัทปี 2561 จะเติบโต 20-30% หรือมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท โดยเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก ซึ่งในไตรมาส 3/2561 คาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อจะขยายตัวได้ดี เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ อีกทั้งบริษัทเดินหน้าขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ตั้งเป้าขยายสาขาใหม่ราว 100-200 สาขา จากปัจจุบันมีทั้งหมด 2.6 พันแห่ง แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในไตรมาส 3/2561 ผู้บริหารเชื่อว่าจะค่อยๆ ปรับตัวลดลง หลังจากช่วงไตรมาสแรกเรื่องดังกล่าวมีผลกดดันต่อราคาหุ้นของบริษัท โดยที่ผ่านมา บริษัทมีการดูแลลูกหนี้อย่างใกล้ชิด ทำให้คาดว่าทั้งปีจะสามารถบริหารจัดการให้อยู่ในระดับประมาณ 5-6% ส่วนการเข้าซื้อหนี้ที่มีหลักประกันจากสถาบันการเงินเข้ามาบริหารเพิ่มเติมในปีนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนราว 2-3 พันล้านบาท ซึ่งจะเน้นลูกหนี้ประเภทผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี), อสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก คาดว่าปลายปีจะเห็นความชัดเจนมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ SAWAD ตั้งเป้าหมายระดมเงินฝากผ่าน BFIT ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกราว 1.5-2 พันล้านบาท เพื่อผลักดันให้พอร์ตเงินฝากเพิ่มขึ้นแตะระดับ 7 พันล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 5.5 พันล้านบาท เนื่องจากมีอัตราดอกเบี้ยเพียง 3.4% ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนของหุ้นกู้ที่บริษัทเพิ่งเสนอขายไปก่อนหน้านี้ มูลค่า 4.5 พันล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.36%

ด้านความเห็นจากนักวิเคราะห์ต่อกรณีการเพิ่มทุนครั้งนี้ของ SAWAD พบว่า บล. เอเชีย เวลท์ เชื่อว่า การเพิ่มทุนรอบนี้จะทำให้มูลค่าทุนจดทะเบียนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.25 พันล้านบาท จาก 1.19 พันล้านบาท แต่การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นหลังจากเพิ่มทุนคาดว่าจะเกิด Dilution ต่ำกว่า 5% โดย Control dilution และ EPS dilution คาดว่าจะอยู่ไม่เกิน 4.7% และ 4.4% ตามลำดับถือว่าไม่มากนัก และการ Dilution จะเริ่มมีผลในปี 2562 เป็นต้นไป

แต่สิงที่น่าสนใจ คือ ธุรกรรมดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างการเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์ระหว่างทั้ง 2 บริษัท โดยเฉพาะ SAWAD ที่จะได้ประโยชน์จาก Position ของ Cathay Financial Holdings ที่ใหญ่กว่าในตลาดการเงิน นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะนำเงินที่ได้จากแผนเพิ่มทุนไปหนุนธุรกิจให้สินเชื่อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจบริหาร NPL อีกด้วย นั่นทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ของบริษัทที่ 2.75 พันล้านบาท โดยเฉพาะกำไรสุทธิครึ่งปีหลัง จะเร่งตัวจากช่วงครึ่งปีแรก หนุนโดยช่วงไฮซีซัน และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งคาดอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น หลังจากที่บริษัทได้หยุดปล่อยสินเชื่อที่ให้อัตราผลตอบแทนต่ำกว่าที่ 19-21% แล้ว และจากอัปไซส์ที่ค่อนข้างจำกัด จึงปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” จาก “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 48 บาทต่อหุ้น ที่คำนวณจาก Prospective PBV ที่ 4.5 เท่า และประมาณการ ROE ระยะยาวที่ 26%

ไม่เพียงเท่านี้ SAWAD ยังมีแนวโน้มการตั้งสำรองที่ลดลง เป็นผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการตั้งสำรองภายในบริษัท ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานเช่นกัน และจากเหตุผลที่นำเสนอมาข้างต้น น่าจะกล่าวได้ว่า SAWAD ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้น (Non-Bank) ที่ดี และมีอนาคตที่น่าติดตามไม่น้อย


กำลังโหลดความคิดเห็น