สโลแกน “มาม่า” เคียงข้างคุณ ก็เป็นอะไรที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภค ล่าสุด เครือสหพัฒน์ฯ “ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ฯ” ดันบริษัทลูกค้า ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ร่วมทุนใน 3 บริษัทอสังหาฯ ของบริษัทอนันดาฯ ผู้นำในตลาดคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าของเมืองไทย ขณะที่ “เพรซิเดนท์ ดี เวนเจอร์” ที่ลงขันครั้งนี้ บริษัทถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์ เพื่อธุรกิจลงทุน และ/หรือให้กู้ยืมเงินในธุรกิจอสังหาฯ!
นางสาว สรารัตน์ ตั้งศิริมงคล เลขานุการบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA (ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเครือสหพัฒน์) บริษัท เพรซิเดนท์ ดี เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 70 ของทุนจดทะเบียน ได้ลงนามในสัญญาจะเข้าร่วมลงทุนกับบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ไอดีโอ โมบิ รางน้ำ จำกัด บริษัท ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 จำกัด และบริษัท ไอดีโอ นิว พระราม 9 จำกัด เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 มูลค่ารวมของการเข้าลงทุนใน 3 บริษัท เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,009.44 ล้านบาท
โดยเพรซิเดนท์ ดีเวนเจอร์ จะเข้าถือหุ้นสามัญ จำนวน 3,900,351 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของไอดีโอ โมบิ รางน้ำ ในราคาหุ้นละ 100 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 390,035,100 บาท ถือหุ้นสามัญจำนวน 3,255,707 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 ในราคาหุ้นละ 100 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 325,570,700 บาท และถือหุ้นสามัญจำนวน 2,938,383 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของไอดีโอ นิว พระราม 9 ในราคาหุ้นละ 100 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 293,838,300 บาท โดยทาง เพรซิเดนท์ ดีเวนเจอร์ จะใช้กระแสเงินสดภายในของบริษัทฯ ในการลงทุน
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่า การเข้าร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้กับบริษัท ขณะเดียวกัน บริษัทจะได้รับผลประโยชน์ในรูปของเงินปันผล ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้และกำไรสุทธิในอนาคตให้แก่บริษัท จากผลการดำเนินงานของทั้ง 3 บริษัท ภายหลังจากโครงการต่างๆ ที่ทั้ง 3 บริษัทเข้าลงทุน สามารถรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการดังกล่าว รวมถึงจะช่วยให้บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ฯ มีการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ และเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ ไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต จึงเห็นว่า การเข้าร่วมทุนดังกล่าวมีความสมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์ต่อบริษัท และผู้ถือหุ้น
สำหรับบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ฯ เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยมีความมุ่งมั่นในการผลิตอาหารเพื่อตอบสนองความพึงพอใจ ภายใต้ผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์ที่มีชื่อเสียง “มาม่า” (MaMa) ขณะเดียวกัน ยังเป็นสินค้าที่อาจจะสามารถชี้วัดถึงสภาพเศรษฐกิจของกลุ่มผู้บริโภค โดยในครึ่งปีแรก บริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 10,712.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 381.86 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.70 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2,010 ล้านบาท โดยบริษัทมีกระแสเงินสดสุทธิที่ได้จากการดำเนินกิจการ 2,716.92 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัทย่อย เพรซิเดนท์ ดี เวนเจอร์ฯ ก็อาจจะวิเคราะห์ได้ว่าเป็นการขยายโอกาสลงทุนของธุรกิจอาหารไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบ Diversify ก็คงไม่ผิด เพราะจะว่าไปแล้ว ธุรกิจของกลุ่มสหพัฒน์ ในแต่ละปีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ เรียกว่า เป็นการแตกแล้วโตของการสร้างอาณาจักรของเจ้าของและผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒน์ “นายห้างเทียม โชควัฒนา” ยิ่งเมื่อส่องดูอาณาจักรแล้ว มีธุรกิจกว่า 200 บริษัท ขณะที่ตัวเลขยอดขายรวมกว่า 300,000 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงกระแสเงินสดที่หมุนเวียนในธุรกิจของเครือสหพัฒน์
แต่มิติใหม่ของการดันบริษัทในเครือรุกเข้าสู่ธุรกิจอสังหาฯ อาจจะเป็นการปรับเปลี่ยน เพื่อหาจังหวะและโอกาสที่เหมาะต่อการลงทุนไปแล้วนั้น จริงๆ แล้ว เครือสหพัฒน์มีการเปิดตลาดอสังหาริมทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมทุนกับบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ตั้งบริษัทใหม่ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่หัวหิน ภายใต้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท
ในส่วนของบริษัท เพรซิเดนท์ ดี เวนเจอร์ จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบธุรกิจลงทุน และ/หรือให้กู้ยืมเงินในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมีทุนจดทะเบียน 1,010 ล้านบาท โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยแห่งหนึ่งจะมีสัดส่วนการลงทุน 70% และ 29% ตามลำดับของทุนจดทะเบียนในบริษัทดังกล่าว บริษัทดังกล่าวได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดกับกระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2561
ด้านของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ต้องถือว่าเป็นบริษัทที่มีความโดดเด่น และเชี่ยวชาญ ในเรื่องของการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า แต่ละโครงการจะอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพที่สูง อย่างทั้ง 3 โครงการที่เกิดการร่วมลงทุนนั้น ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมือง อย่างโครงการ ไอดีโอ โมบิ รางน้ำ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมในดีไซน์ สไตล์ ด้วยรูปแบบดีไซน์ในสไตล์ Futuristic เน้นเส้นสายของความโค้งมน ล้ำสมัยเหมือนการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายลื่นไหลไม่รู้จบ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมือง บนซอยรางน้ำ
โครงการ ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง ในซอยสุขุมวิท 36 ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ เพียง 450 เมตร อาคารดีไซน์ให้สามารถถ่ายเทอากาศในรูปแบบ Breathing Atrium พร้อมมีทางเชื่อมสู่อาคารทั้ง 2 ของคอนโดมิเนียมได้อย่างสะดวกสบาย
และโครงการ ไอดีโอ นิว พระราม 9 เป็นคอนโด High Rise 24 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนรามคำแหง ใกล้แยกรามคำแหงตัดถนนพระราม 9 และใกล้กับ Foodland ในระยะที่เดินไปได้ ตัวโครงการมาในคอนเซ็ปต์ Hybird ที่มีความล้ำสมัยทั้งในส่วนของพื้นที่ส่วนกลาง และห้องพักที่มีให้เลือกทั้งสตูดิโอ และ 1-2 Bedroom ซึ่งแบบ 1 Bedroom นั้น มีห้องแบบฝ้าเพดานสูง 4.5 ม. ให้สามารถทำเป็นห้อง 2 ชั้นได้ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทอนันดาฯ ได้เผยว่า ยอดโอนในไตรมาส 2 ที่ระดับ 6,759 ล้านบาท ซึ่งรวมยอดโอนจากโครงการร่วมทุน เพิ่มขึ้น 147% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 28% นอกจากนี้ ยังประสบความสำเร็จในการสร้างผลกำไรสุทธิที่ 584 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 109% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 303% จากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากบริษัทฯ ได้รับรู้ผลกำไรจากโครงการร่วมทุนสูงถึง 539 ล้านบาท จากที่มีผลขาดทุน 300 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทยังมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 24% จาก 7% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
และแม้ว่าบริษัทสามารถสร้างยอดขายจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวไปก่อนหน้า จำนวน 10,618 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ถึง 39% บริษัทฯ ยังคงเป้ายอดขายทั้งปีที่ 35,100 ล้านบาท ทั้งนี้ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาสสองปี 61 จำนวนกว่า 54,600 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และสิ้นไตรมาส 2 บริษัทยังมีกระแสเงินที่แข็งแกร่งมากกว่า 1,500 ล้านบาท.