“นีลเส็น ประเทศไทย” บ่งชี้ว่า มูลค่าตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทย มีมูลค่าตลาดรวมในปีที่ผ่านมากว่า 1,400 ล้านบาท จากแบรนด์สินค้าในตลาดกว่า 30 แบรนด์ ขณะที่ภาพรวมช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดรวมหดตัวลงจากค่านิยมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ONETOUCH(TM) หวังเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ตั้งเป้าสิ้นปีนี้จาก 28% เพิ่มขึ้นเป็น 32% และ 35% ตามลำดับในปี 2562 และ 2563 หวังเป็นเจ้าตลาดถุงยางฯ ในไทย
นายกัณห์ กุลอัฐภิญญา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้แบรนด์ ONETOUCH(TM) และ PLAYBOY เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทย (สำรวจโดยนีลเส็น ประเทศไทย) ในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1,432 ล้านบาท หรือคิดเป็นปริมาณ 72 ล้านชิ้น (ไม่รวมถุงยางที่แจกจ่ายโดยภาครัฐ และองค์กรไม่แสวงหากำไร) โดยปัจจุบัน ในประเทศไทยมีถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดกว่า 30 แบรนด์ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 หน่วยสินค้า (SKU) ซึ่งมาจากผู้ผลิตในประเทศ 5 ราย และผู้นำเข้าจากต่างประเทศอีก 2 ราย
ขณะที่ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2561) พบว่ามูลค่าตลาดรวมลดลงประมาณ 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยมาจากค่านิยมเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการคุมกำเนิดที่เปลี่ยนแปลงไป สะท้อนจากอัตราการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของประชาชนคนไทยที่เพิ่มขึ้นจากในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม
“ประเมินว่า แนวโน้มตลาดถุงยางอนามัยในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะช่องทางการขายทางออนไลน์ที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างโดดเด่น จากการทำกิจการการตลาดเพื่อกระตุ้นการขายของผู้ประกอบการแบรนด์ต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น”
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของถุงยางอนามัยแบรนด์ ONETOUCH(TM) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยมาจากการปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าให้มีความชัดเจน และสามารถสื่อสารจุดยืนที่ชัดยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ไปให้ถึงจุด ทำให้สุดยอด’ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยเฉพาะการขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ของแบรนด์ ONETOUCH(TM) ที่เป็นคนในยุคมิลเลนเนียล (Millennials) หรือกลุ่ม Gen Y ที่เกิดในช่วงปี 2523-2543 (อายุ 18-38 ปี) โดยทำการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำหรือทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ ONETOUCH(TM) พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นการวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ มากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน พบว่า พฤติกรรมในการเลือกซื้อถุงยางอนามัยของผู้บริโภคในปัจจุบัน ยังคงให้ความสำคัญกับยี่ห้อเป็นอันดับแรก ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องมือแพทย์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่กล้าเสี่ยงใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเลือกซื้อถุงยางอนามัยที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จัก เป็นปัจจัยลำดับต้นๆ เพื่อลดความกังวลในเรื่องดังกล่าว เพิ่มมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์
ทั้งนี้ ผลตอบรับจากการปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้า ตั้งเป้าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดแบรนด์ ONETOUCH(TM) เป็น 28% ของปริมาณการใช้โดยรวม และปี 2562 ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 32% ของปริมาณการใช้โดยรวม ส่วนในปี 2563 ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 35% โดยจะรุกวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เกต และร้านขายยา ให้ครอบคลุม เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น
“เราตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเพื่อก้าวเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยในประเทศในอนาคต โดยมั่นใจว่า ด้วยคุณภาพสินค้า และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค ประสบการณ์ในการขาย และการตลาด และมีพันธมิตรคู่ค้าด้านการทำตลาด และช่องทางจำหน่ายที่ดี จะทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าของเรา และทำให้ ONETOUCH(TM) บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายกัณห์ กล่าว