อารียาเดินหน้าโครงการหมื่นล้านย่านราชดำริ พัฒนาเป็นคอนโดฯ-โรงแรมสุดหรู สูง 50-60 ชั้น คาดเปิดตัว เริ่มก่อสร้างในต้นปีหน้า ช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีเร่ง 5 โครงการใหม่ มูลค่า 5.35 พันล้านบาท มั่นใจปี 61 ยอดขาย 10,000 ล้านบาท
นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ A เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาที่ดินขนาด 5 ไร่ของสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์ (AUAA) ที่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิม คือ สำนักงานพระคลังข้างที่ ปัจจุบัน กรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ในอำนาจการบริหารของสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สัญญาเช่า 30 ปี บวกระยะเวลาก่อสร้างอีก 4 ปี
แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนเจ้าของทำให้แนวเขตของที่ดินเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทำให้บริษัทจึงต้องปรับแบบโครงการเล็กน้อย เพื่อให้การออกแบบเหมาะสมกับแปลงที่ดิน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงแบบดังกล่าวไม่กระทบต่อโครงสร้างหลัก ทำให้ไม่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ใหม่ ซึ่งโครงการนี้ยื่น EIA ผ่านมาแล้ว 2 ปี โดยคาดว่า แบบจะแล้วเสร็จภายใน 2-เดือนนี้ และสามารถก่อสร้างได้เลย ส่วนระยะเวลาในการนับนับสัญญาจะเริ่มจากตอกเสาเข็มก่อสร้าง
สำหรับรูปแบบการพัฒนาจะสร้างเป็นอาคารสูง 50-60 ชั้น ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมหรู และโรงแรม 5 ดาว พื้นในรูปแบบโค-เวิร์กกิ้งสเปซ (co-working space) มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท เบื้องต้นบริษัทยังไม่ยื่นของสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ส่วนการร่วมทุนนั้น ขณะนี้มีกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาเจรจาของร่วมทุนพัฒนาโครงการดังกล่าว 3-4 ราย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณา
ส่วนแผนการดำเนินงานในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี บริษัทมีแผนเปิด 4 โครงการใหม่ มีมูลค่าโครงการ 5,350 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Colors บางนา, โครงการ Mandarina เกษตร-รามอินทรา, โครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2, โครงการ The Parti เกษตร-นวมินทร์ และโครงการ Busaba บ้านเดี่ยวแห่งเดียวติดถนนเสรีไทย
โดยมี 3 โครงการไฮไลท์ ได้แก่ โครงการ Mandarina เอกมัย-รามอินทรา โดดเด่นด้วยสไตล์ Modern Tropical Town Home ราคาเริ่มต้น 7.5 ล้านบาท มีมูลค่าการลงทุน 950 ล้านบาท, โครงการ The Parti เกษตร-นวมินทร์ โฮมออฟฟิศ เน้นกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่ชอบออกแบบชีวิตให้เป็นเรื่องง่าย ราคาเริ่มต้น 11.9 ล้านบาท มูลค่าการลงทุน 800 ล้านบาท
และโครงการคอนโดมิเนียม A Space Mega บางนา 2 เป็นโครงการต่อเนื่องจากเฟสแรก ที่ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี สามารถปิดการขายได้ 100% จึงได้ดำเนินการเฟส 2 ขึ้นมา มีมูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะขายหมดในช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยจะให้โบรกเกอร์นำห้องชุดไปขายให้แก่ ชาวจีน ฮ่องกง โดยคาดว่าจะสามารถขายได้เต็มโคว์ต้า 49% ที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มช่องทางการจำหน่าย โดยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มชาวต่างชาติ ผ่านตัวแทนจำหน่ายชาวจีน ฮ่องกง ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีเกินคาด โดยในช่วงครึ่งปีแรกมียอดขายชาวต่างชาติถึง 1,500 ล้านบาท
สำหรับในที่เหลือของปีนี้บริษัทยังคงเดินทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมนำสต๊อกคอนโดฯพร้อมโอนมูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท เร่งระบายเพิ่มสร้างรายได้ โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถระบายได้หมดภายใน 1 ปีครึ่งหลังจากนี้ ในปีนี้คาดว่าจะสามารถขายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ในจำนวนเป็นสัดส่วนลูกค้าต่างชาติประมาณ 60-70% ทำให้บริษัทมั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถสร้างยอดขายได้ 10,000 ล้านบาท
“ยอดขายชาวต่างชาติของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกง และจีน ซึ่งเป็นการขายที่บริษัทขายเอง และขายผ่านเอเยนซี โดยเฉพาะโครงการ A Space Mega โครงการแรก มีสัดส่วนการจองซื้อของลูกค้าต่างชาติเต็มโควตา 49% และคาดว่า โครงการ A Space Mega 2 คาดว่าจะมียอดจองจากลูกค้าต่างชาติเต็มจำนวนเช่นเดียวกัน อีกทั้งการขายให้กับลูกค้าต่างชาติ ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าการขายให้กับลูกค้าในประเทศ โดยที่การขายให้กับลูกค้าต่างชาติให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40% และเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 36-37% จากปีก่อนที่ 35%” นายวิศิษฏ์ กล่าว
ในปีนี้บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 10% จากปี 60 ที่มีรายได้ 5,000 ล้านบาท แม้ว่ารายได้ในครึ่งปีแรกของบริษัทจะยังไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย แต่เชื่อว่า ในครึ่งปีหลังรายได้จะเติบโตมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยบริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะทยอยโอนในช่วงครึ่งปีหลังอีก 700-800 ล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 4,200-4,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม Backlog ส่วนใหญ่จะไปโอนในช่วงปลายปี 62
นายวิศิษฎ์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ คือ “ความสุขมีตัวตน” เพื่อต้องการสื่อสารให้สอดรับกับความทันสมัยของผู้บริโภค รับกับรสนิยม และการใส่ใจสุขภาพกาย และใจของสังคมเมือง โดยมีการ Launch แคมเปญใหม่ไปเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ เพื่อเป็นการปรับภาพลักษณ์ใหม่ อารียายังได้มีการปรับโฉมใหม่ของเว็บไซต์หลัก www.areeya.co.th ให้มีความทันสมัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วในการค้นหาข้อมูล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม อารียา ยังคงชูคอนเซ็ปต์เรื่อง Sustainable Happiness อย่างต่อเนื่อง มีกิจกรรมที่น่าสนใจต่างๆ มากมาย อาทิ เรื่องของ Green and Clean ที่ชูความสมาร์ท 2 เรื่อง ได้แก่ สมาร์ทด้วยเทคโนโลยี Clean Air and Energy Saving โดยได้มีพาร์ตเนอร์ใหม่อย่าง พานาโซนิค ที่จะมาช่วยเสริมด้านเทคโนโลยี Clean Living ให้อากาศภายในบ้านปลอดโปร่ง สะอาด ปราศจากเชื้อโรค รวมถึงช่วยประหยัดพลังงาน และสมาร์ทด้วยเทคโนโลยีควบคุมบ้านผ่านปลายนิ้วสัมผัส ด้วยระบบ Self-Managed Home Automation at Fingertips รวมถึงกิจกรรม Recycle Day ที่ได้มีการพัฒนาระบบในรูปแบบของแอปพลิเคชัน ที่ช่วยให้การคัดแยกขยะของลูกบ้านง่าย และสะดวกขึ้น จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก
ด้านนายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงเทรนด์ผู้บริโภค และอสังหาริมทรัพย์ ว่า ปัจจุบัน วิวัฒนาการต่างๆ ได้ก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม ดังนั้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะต้องมีการปรับขยับตามเทรนด์ ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เป็น 5 เทรนด์ คือ 1) สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่ได้กลายมาเป็นเทรนด์ใหม่มาแรงในกรุงเทพฯ และหัวเมืองตามต่างจังหวัด 2) เทคโนโลยีการบริการในบ้านที่ออกแบบมา เพื่อลดขั้นตอน และเพื่อความสะดวกสบายที่ควบคุมได้จนกลายเป็นเรื่องปกติของทุกคน (Automation Becoming The New Norm)
3) รสนิยมที่ยกระดับความหรูหราของสินค้า และการบริการ (Ultra-High-Net-Worth-Individuals meets Ultra Luxury real estate market) 4) การมองหาชีวิตที่ดี เข้าใกล้ธรรมชาติ เน้นสุขภาพกาย และใจที่ดีขึ้น (Seek for Green & Clean Living) และ 5) งานบริการหลังการขาย ที่กลายมาเป็นเรื่องหลักในการตัดสินใจซื้อบ้าน (Life At Home Begins After Sales) ซึ่งเทรนด์สุดท้ายนี้จะเห็นชัดที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อผู้บริโภคมีการใส่ใจในบริการหลังการขายที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ที่มีขึ้น เพื่อลดขั้นตอนที่ไม่สำคัญ แต่ก็ยังคงชอบการใส่ใจจากนิติบุคคล และพนักงานที่ให้บริการหลังการขาย นอกจากนี้ ในเรื่องการรับประกันบ้านก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
“จะเห็นได้ว่า 5 เทรนด์ข้างต้นสอดคล้องกับ 4 ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาพร้อมกับคุณภาพ (Aesthetic Design & Premium Quality), ความสุขและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Happiness), นวัตกรรมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ (Innovative Living) และการให้บริการดูแลลูกบ้านตั้งแต่เริ่ม ตลอดจนบริการหลังการขายอย่างสุดความสามารถ (Best In Class After Sales Service) โดยเรามีความพร้อมที่จะปรับและก้าวให้ทันตามเทรนด์ของผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย” นายวิวัฒน์ กล่าว