“อธิบดีกรมศุลกากร” เตรียมใช้ระบบออนไลน์พิธีการศุลกากรกับทุกหน่วยงาน 1 ก.ย.นี้ พร้อมยกเลิกเกณฑ์การเจรจาเพื่อระงับคดีต่อผู้กระทำทางภาษีซ้ำ 2 โดยจะทำสำนวนส่งฟ้องศาลพิจารณาความผิดทางอาญา ปรับเงิน 2-4 เท่าของราคาสินค้า โดยสินค้าที่ราคาเกินกว่า 1,500 บาท ที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีศุลกากร และ VAT มียอดเก็บภาษีเดือนละ 5 ล้านบาทในปัจจุบัน
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวในงานสัมมนา “Digital Customs 2018” ว่า กรมศุลกากรเตรียมเริ่มใช้ระบบออนไลน์ในพิธีการศุลกากรกับทุกหน่วยงานในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ เพื่อให้บริการนำเข้า ส่งออกสินค้า ด้วยการจัดทำฐานข้อมูลโยงกับหลายหน่วยงาน โดยเตรียมออกประกาศยกเลิกเกณฑ์ระงับคดีในเร็วๆ นี้ เพื่อเปิดโอกาสกระทำความผิดฐานลักลอบหนีภาษีได้เพียงครั้งแรก หากกระทำผิดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 กรมศุลกากรจะทำสำนวนส่งฟ้องศาลพิจารณาความผิดทางอาญา เพื่อทำการปรับเงิน 2-4 เท่าของราคาสินค้า และโทษอื่นๆ โดยไม่มีการเจรจาผ่อนปรนเรื่องระงับคดีในชั้นของศุลกากรอีก
นอกจากนี้ อธิบดีกรมศุลกากร ยังยอมรับด้วยว่า ขณะนี้การสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบ E-Commerce แบบสั่งพรีออเดอร์เติบโตสูงขึ้น โดยปัจจุบันนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจัดส่งทางไปรษณีย์ไม่เกิน 1,500 บาทต่อชิ้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนสินค้าที่ราคาเกินกว่า 1,500 บาท และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่เริ่มจัดเก็บภาษี มียอดรายได้ภาษีประมาณ 5 ล้านบาทต่อเดือน และเนื่องจากเริ่มมีสินค้าเข้ามาที่ไปรษณีย์หลักสี่ และไปรษณีย์หัวลำโพงมากขึ้น เพื่อลดความแออัดการเดินทางไปเสียภาษีที่ไปรษณีย์ จึงใช้ระบบออนไลน์แจ้งยอดเสียภาษีไปยังที่อยู่ และให้ผู้สั่งซื้อจ่ายภาษีผ่าน E-Payment ให้แก่กรมศุลกากร
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ได้มีตรวจพบว่า มีการซื้อขายกัญชาในสหรัฐฯ ได้โดยเสรี จึงทำให้กัญชาดังกล่าวได้แพร่กระจายเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกัญชาจากสหรัฐฯ ยาไอซ์จากสหภาพยุโรป ซึ่งในแต่ละเดือนจะมีจำนวนนับเป็นร้อยชิ้น ดังนั้น จึงได้ปรับใช้ระบบออนไลน์ ส่งข้อมูลให้ตรวจพิกัดสินค้า และส่งใบเรียกเก็บภาษีไปยังบ้านอยู่อาศัย และเสียภาษีผ่าน E-Payment มายังกรมศุลกากร โดยไม่ต้องเดินทางไปยังไปรษณีย์หลักสี่
นายกุลิศ กล่าวต่อไปว่า กรมศุลกากรยังจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวศุลกากร ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารความเสี่ยง ติดตามดูการสำแดงสินค้าเท็จ การลักลอบหนีภาษีผ่านหลายช่อง เช่น ติดตามการเดินทางในช่วง 180 วัน โดยหากเดินทางเข้าออกต่างประเทศถึง 140 วัน ไปยังประเทศกลุ่มเป้าหมายที่ต้องจับตา เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะต้องตรวจดูสินค้านำเข้าติดตัวเข้ามาผ่านสนามบิน โดยไม่ต้องเสียเวลาติดตามผู้โดยสารที่ผ่านสนามบินเป็นจำนวนมาก สำหรับกลุ่มที่ถูกขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ จะส่งรายชื่อไปยังด่านศุลกากรทุกแห่งทั่วประเทศ
อีกทั้ง กรมศุลกากรยังเดินหน้าเชื่อมโยงข้อมูลกับหลายหน่วยงานตามนโยบาย NSW (National Single Window) เตรียมเริ่มใช้กับทุกหน่วยงานรัฐ ที่ต้องออกใบอนุญาตนำเข้า ส่งออกสินค้า เพื่อลดปัญหาการใช้เอกสารซ้ำซ้อน จึงกำหนดให้ผู้ส่งออก นำเข้า แจ้งเอกสารหลักที่กรมศุลกากร จากนั้นจะแชร์ข้อมูลดังกล่าวเชื่อมไปยังทุกหน่วยงาน นำร่องสินค้าวัตถุอันตราย สินค้าเกษตร เป็นสินค้าที่ต้องขอใบอนุญาต อย. และด้านเกษตร
ขณะนี้เชื่อมข้อมูลแล้ว 8 หน่วยงาน จากนั้นจะเริ่มทยอยใช้เต็มรูปแบบในปี 62 ครบทุกหน่วยงาน 33 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกนำเข้าส่งออกสินค้า ลดการใช้เอกสารซ้ำซ้อน No Copy เพื่อใช้เอกสารสำหรับออกใบอนุญาตเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง