xs
xsm
sm
md
lg

เคพีเอ็นฯ รับทรัพย์ 1,500 ล้าน แถมหุ้น RML 14.31%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เอเดรียน ลี
เคพีเอ็นฯ รับทรัพย์ 1,500 ล้านบาท แถมหุ้นในไรมอน แลนด์ อีก 14.31% หลังขายที่ดิน 2 แปลง S19-S28 คอนโดฯ เหลือขาย 116 ยูนิต จับตาเคพีเอ็นซื้อหุ้นในกระดานเพิ่ม ด้านไรมอน แลนด์ ยันไม่ใช่ Backdoor 

นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนในการเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยได้เข้าไปลงทุนในสินทรัพย์บางส่วนของบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด (KPNL) ด้วยมูลค่าการลงทุน 2,500 ล้านบาท ได้แก่ 1.ที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ S19 ใน ซ.สุขุมวิท 19 จำนวน 57% เนื่องจากส่วนที่เหลือ 43% เป็นของบริษัท เคปเปลไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนของเคพีเอ็น 2.ที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ S28 จำนวน 100% ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 2566 3.ยูนิตเหลือขายในโครงการ Diplomat 39 จำนวน 107 ยูนิต และโครงการ Diplomat สาทร จำนวน 9 ยูนิต โดยยูนิตเหลือขายของ Diplomat ทั้ง 2 โครงการมีมูลค่าขาย 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรู้รายได้ทันที

สำหรับเม็ดเงินลงทุนจำนวนกว่า 2,500 ล้านบาทนั้น บริษัทจะจ่ายเป็นเงินสดประมาณ 1,500 ล้านบาท และชำระเป็นหุ้น จำนวน 597 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งการชำระเป็นหุ้นดังกล่าวจะส่งผลให้เคพีเอ็นฯ เข้ามาถือหุ้นในไรมอนด์ แลนด์ สัดส่วน 14.31% นายจิรวุฒิ คุวานันท์ ถือ 15.58% จากเดิม 19.35% กลุ่มเจเอส แอสเสท เมเนจเม้นท์ พีทีอี ซึ่งเป็นกลุ่มของนายเอเดรียน สัดส่วน 21.4% จากเดิม 24.98% และที่เหลือเป็นของผู้ถือหุ้นอื่นๆ 47.71%

นายเอเดรียน กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้เคพีเอ็น แลนด์ แบบเฉพาะเจาะจง (PP) ไม่ได้เป็นการเปิดทางให้เคพีเอ็นฯ เข้ามาครอบงำกิจการ และการเข้าตลาดทางอ้อม (Backdoor listing) แต่เป็นการเข้ามาร่วมกันเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจร่วมกับบริษัท โดยเคพีเอ็น จะส่งผู้บริหาร 2 คนเข้ามานั่งเป็นกรรมการในไรมอน แลนด์ แต่จะไม่มีอำนาจในการบริหารกิจการ โดยอำนาจการบริหารกิจการยังเป็นของไรมอน แลนด์ เหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สำหรับกระบวนการในการโอนสินทรัพย์จากเคพีเอ็นทั้ง 4 รายการ ได้แก่ ที่ดินแปลงสุขุมวิท 19 และสุขุมวิท 28 ประกอบกับการได้มาซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมที่มีการพัฒนาไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Diplomat สุขุมวิท 39 และโครงการ Diplomat สาทร กระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

“ดีลนี้เราได้คุยกับเคพีเอ็น มาประมาณ 1 ปี ที่เลือกเคพีเอ็น เพราะมีที่ดินและโครงการที่พัฒนาแล้วในทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งยืนยันว่า การเข้ามาของเคพีเอ็นไม่ใช่การเข้ามา Take Over หรือ Backdoor ผู้บริหารของไรมอน แลนด์ ยังคงเป็นชุดเดิม และจะอยู่ไปอีกนาน แต่การร่วมงานกับเคพีเอ็นมากกว่า เราสามารถใช้แบรนด์ Diplomat และ The Capital ได้ ส่วนในอนาคต ถ้าเคพีเอ็นอยากเข้ามาถือหุ้นเพิ่มด้วยการซื้อหุ้นในตลาด เราก็ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเคพีเอ็น” นายเอเดรียน กล่าว

สำหรับแผนการลงทุนของไรมอน แลนด์ ในครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทวางแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวม 9,000 ล้านบาท บนทำเลซอยสาทร 12 และสุขุมวิท 39 (พร้อมพงษ์) สำหรับที่ดินของเคพีเอ็นฯ โครงการแปลง S19 นั้น บริษัทจะออกแบบโครงการใหม่ รีแบรนด์เป็นรูปแบบใหม่ และจะพัฒนาโครงการดังกล่าวต่อไปจนถึงกำหนดส่งมอบในปี 65 ซึ่งโครงการ S19 มียอดขายแล้ว 70% ส่วนที่ดินแปลง S28 ยังชะลอการพัฒนาโครงการออกไปก่อน เนื่องจากติดปัญหาร้องเรียนจากโครงการใกล้เคียง แต่คาดว่าโครงการ S28 จะเริ่มพัฒนาได้ไนช่วงปี 62-63 สำหรับการเปิดโครงการใหม่ในปี 62 เบื้องต้น วางแผนไว้ 2 โครงการ มูลค่ารวม 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบนทำเลทองหล่อ และราชเทวี-พญาไท

ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มทยอยโอนโครงการ The Loft อโศก เข้ามาบางส่วน จากปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% โดยจะโอนในปีนี้ จำนวน 2,670 ล้านบาท และจะมีการทยอยโอนโครงการ Diplomat สุขุมวิท 39 ในช่วงปลายปีนี้อีก 1,800 ล้านบาท หลังจากที่เจรจากับเคพีเอ็นเสร็จสิ้น ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เพิ่มเป็น 6,020 ล้านบาท จากปัจจุบันมี Backlog 3,000 ล้านบาท พร้อมกับได้ปรับเป้าหมายรายได้เพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท หลังจากที่มีการโอนโครงการ Diplomat สุขุมวิท 39 เข้ามาหนุนรายได้ในปีนี้ ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ามีรายได้แตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 3-4 ปีข้างหน้านี้

ในปี 62 บริษัทจะโอนโครงการ The Loft อโศก เข้ามาจำนวน 2,940 ล้านบาท และยังมีโครงการ Diplomat สุขุมวิท 39 และสาทร เข้ามาเสริมอีก 663 ล้านบาท โดยที่ประเมินรายได้ในปี 62 ไว้ที่ 4,000 ล้านบาท พร้อมกับยังมั่นใจว่า รายได้จะสามารถทำได้เป้าหมาย 10,000 ล้านบาท ภายในปี 65 โดยที่จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย สัดส่วน 70% และรายได้ประจำ (Recurring income) สัดส่วน 30% โดยที่บริษัทยังคงเน้นการมองหาโอกาสในการร่วมทุน หรือการเข้าซื้อกิจการในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำเข้ามาเป็นหลัก เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำให้ได้ตามเป้าหมาย เช่น การขยายสาขาร้านอาหารบ้านหญิง การซื้อกิจการใหม่ๆ และหากมีโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่เข้ามาเสนอขายก็พร้อมจะพิจารณาลงทุน แต่จะลดการซื้ออสังหาฯ เพื่อขาย


กำลังโหลดความคิดเห็น