xs
xsm
sm
md
lg

ค่าฟีแบงก์ติดลบหลังยกเว้นโอนผ่านดิจิทัลแบงกิ้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


แบงก์ชาติ ระบุค่าธรรมเนียนการโอนของแบงก์พาณิชย์ติดลบเป็นครั้งแรกหลังจากยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนผ่านช่องทางดิจิทัล ขณะผลการดำเนินงานของระบบแบงก์ ไตรมาส 2 ปีนี้เติบโตต่อเนื่อง กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15.9% จากไตรมาสแรก ผลมาจากสินเชื่อเพิ่มขึ้นและการตั้งสำรองลดลง หวังสินเชื่อที่อยู่อาศัยระดับกลางและผู้มีรายได้น้อยยังทรงตัว มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอตราดอกเบี้ยในอนาคต

น.สดารณี แซ่จู ผู้อานวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ เปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2 ปี 2561 ว่า ในไตรมาส 2 ปี 2561 ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน จากค่าใช้จ่ายกันสำรองที่ลดลง และรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ แม้รายได้ ค่าธรรมเนียมจะได้รับผลกระทบจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงิน ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Asset : ROA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.21% จาก 1.07% ในไตรมาสก่อน และอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) เพิ่มขึ้นจาก 2.66% มาอยู่ที่ 2.71%

โดยรายได้จากค่าธรรมเนียมการโอนไตรมาส 2 ที่ -11.2% เห็นติดลบเป็นครั้งแรก เนื่องจากมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอน ลูกค้าหันมาทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นถึง 224 ล้านรายการ ประมาณ 5,274 ล้านบาท คิดเป็น 90% โอนเงินผ่านสาขาและเอทีเอ็มลเลงเหลือ 10% โดยมีรายได้ค่าธรรมเนียมโดยรวม 35,962 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จากค่าธรรมเนียมการโอนที่ติดลบคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10% ของค่าธรรมเนียมโดยรวมเท่านั้น

ขณะที่สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 4.7% ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 5.4% เมื่อเทียบระยะเวลาเดียวกันปีก่อน โดยสินเชื่อธุรกิจขยายตัวในหลายประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะจากพอร์ตสินเชื่อ SME ที่วงเงินค่อนข้างสูง สำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวในทุกพอร์ตสินเชื่อ โดยเฉพาะจากการเร่งตัวต่อเนื่องของสินเชื่อรถยนต์ ทั้งนี้ ภาพรวมการระดมทุนผ่านสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ และตราสารหนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 5.1% มาอยู่ที่ 5.6%

ส่วนสินเชื่อธุรกิจ 66.7% ของสินเชื่อรวมขยายตัว 4.1% เพิ่มขึ้นในหลายประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะจากสินเชื่อธุรกิจ SME ที่วงเงินค่อนข้างสูง แม้การขยายตัวของสินเชื่อ SME ที่มีวงเงินขนาดเล็กปรับดีขึ้นบ้าง แต่ยังกระจุกตัวในบางพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยสินเชื่อธุรกิจ SME (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) ขยายตัวที่ 7.5% จากธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจอาคารชุดที่พักอาศัยและอาคารแฟลตเพื่อขาย และธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไป สำหรับสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) หดตัว 1.8% เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่มีทางเลือกในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ และหุ้น ประกอบกับธุรกิจบางส่วนมีการชำระคืนหนี้ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจขนาดใหญ่บางประเภทมีการใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้น เช่น ธุรกิจที่พักแรม และการผลิตเคมีภัณฑ์

อีกทั้งสินเชื่ออุปโภคบริโภค 33.3% ของสินเชื่อรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.0% เมื่อเทียบระยะเดียวกันปีก่อน โดยหลังจากสินเชื่อรถยนต์ที่เร่งตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 มาอยู่ที่ 12.4% สอดคล้องต่อยอดขายรถยนต์ที่เติบโตต่อเนื่องหลังสิ้นสุดระยะเวลาการถือครองรถยนต์คันแรก 5 ปี ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.2% 6.5% และ 8.0% ตามลำดับ สอดคล้องต่อการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.93% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ 2.92% โดยมียอดคงค้าง NPL ลดลงจากไตรมาสก่อน 1.65 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 441 พันล้านบาท
 
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับโครงสร้างหนี้ และตัดหนี้สูญเป็นสำคัญ สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SpecialMentionLoan : SM) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.36% จาก 2.32% ในไตรมาสก่อน โดยมียอดคงค้างทั้งสิ้น 356 พันล้านบาท ทั้งนี้ ธนาคาร พาณิชย์กันเงินสำรองเพื่อสร้างความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินสำรอง 637 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 14.6 พันล้านบาท และสัดส่วนเงินสารองที่มีต่อเงินสำรองพึงกันเพิ่มขึ้นมาอยู่ 182.1 พันล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น