ผู้จัดการรายวัน 360 องศา - เหมือนยังไม่ผ่านพ้นช่วงวิกฤตสำหรับ ราคาหุ้นของ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) เห็นได้ชัดจากวันก่อนหน้า (1 ส.ค. 61) ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20 จุด แต่หุ้นเครื่องสำอาง BEAUTY กลับเดินหน้าสวนตลาดปรับตัวลดลงอย่างน่าใจหาย หากจะควานหาสาเหตุคำตอบส่วนใหญ่หนีไม่พ้นการออกมายอมรับว่า ผลดำเนินงานในไตรมาส 2/61 ที่จะประกาศออกมานั้นลดลง
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น BEAUTY เที่ยวนี้อาจไม่ใช่เพราะผลดำเนินงานไตรมาส 2/61 ลดลงมากเพียงปัจจัยเดียว จนเริ่มมีการตั้งคำถามว่าจุดต่ำสุดของบริษัท จะมีเพียงไตรมาสเดียวในปีนี้จริงหรือไม่ ? หรือข่าวร้ายที่เตรียมเข้ามาบั่นทอนราคาหุ้นจะยังไม่จบสิ้น แต่จะมีไตรมาส 3 หรือไตรมาสอื่นๆ เกิดขึ้นตามมาด้วย
ก่อนหน้านี้ นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BEAUTY ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อผลดำเนินงานของบริษัทว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/61 อาจจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ แต่จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังที่เป็นไฮซีซัน โดยกำไรสุทธิปีนี้คาดจะมากกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 1,229.32 ล้านบาท แม้ผลประกอบการไตรมาส 2 จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลังจากได้รับผลกระทบจากประเด็นปัญหาสินค้าไม่มี อย. ส่งผลทางจิตวิทยาจากกลุ่มลูกค้ารายย่อย แต่โดยรวมตลอดทั้งปีบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 4,290 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 15% จากปีก่อน
จากคำชี้แจงของผู้บริหารบริษัท เมื่อพิจารณาจากผลดำเนินงานย้อนหลังของบริษัท ต้องยอมรับว่า BEAUTY เป็นหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจสูง จากรายได้และกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหลายฝ่ายจึงเชื่อว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นใน BEUATY ในปัจจุบัน ราคาหุ้นปรับตัวรับรู้ข่าวดังกล่าวไปก่อนหน้าแล้ว จึงไม่น่าใช่สาเหตุที่กดดันให้ราคาหุ้นของบริษัทไม่ขยับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางที่ควรจะเป็น ทำให้ข้อสงสัยถัดมาหนีไม่พ้น การซื้อหุ้นคืนของบริษัท ซึ่งคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2561 ให้ซื้อหุ้นคืนสูงสุดตามโครงการ 64 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.13% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 950 ล้านบาท โดยเริ่มต้นซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 2561-23 ม.ค. 2562 ซึ่งวันที่ 1 ส.ค. 2561 บริษัทได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืน จำนวน 1,525,000 หุ้น ในราคาซื้อสูงสุดที่ 7.90 บาทต่อหุ้น และต่ำสุดที่ 7.25 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 11,674,180 บาท ทำให้มีจำนวนรวมหุ้นที่ซื้อคืนตามโครงการจนถึงปัจจุบันรวม 9,425,000 หุ้น คิดเป็น 0.31% ของทุนที่ชำระแล้ว หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 75,172,807 บาท
เหตุผลที่หลายฝ่ายให้น้ำหนักต่อกรณีดังกล่าว เนื่องจากการออกมาให้ข่าวซื้อหุ้นคืนของผู้บริหาร BEAUTY รอบนี้เกิดปัญหา เพราะไม่ได้ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เรียบร้อยก่อน จนถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งขึ้นเครื่องหมาย “H” แถมถูก ก.ล.ต. ตรวจสอบความผิดการใช้ข้อมูลภายในแสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้นหรืออินไซเดอร์เทรดดิ้งหุ้นตัวนี้
ข้อมูลการซื้อหุ้นคืนที่รั่วไหลของ BEAUTY ครั้งนี้ ผู้บริหารอ้างว่า เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิค โดยฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัทฯ กับบริษัทประชาสัมพันธ์ภายนอก จนเกิดปัญหาด้านการประสานงาน และทำให้ข้อมูลถูกเผยแพร่ผ่านสื่อก่อนที่จะแจ้งข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนนายแพทย์สุวิน ในฐานะผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่มีเจตนาสร้างราคาหุ้นจากเรื่องดังกล่าว แต่คงไม่สามารถปฏิเสธว่า ข่าวที่ออกมา มีส่วนกระตุ้นราคาหุ้น และสร้างประโยชน์ให้กับนักลงทุนที่ได้รับรู้ข้อมูลก่อน ชิงเข้าไปช้อนซื้อหุ้นเก็บก่อนเพื่อทำกำไร
ดังนั้น การตรวจสอบการซื้อขายหุ้น BEAUTY ของ ก.ล.ต. ควรเดินหน้าต่อไป เพราะข่าวการซื้อหุ้นคืนที่รั่วไหล ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มได้เปรียบ และประโยชน์ เข้าข่ายความผิดอินไซเดอร์เทรดดิ้ง โดยไม่จำเป็นต้องเจาะจงว่า อินไซเดอร์จะต้องเป็นนายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ เพียงรายเดียวเท่านั้น
สำหรับการเข้าซื้อหุ้นบนกระดานซื้อขายคืนของบริษัทนั้น หมายถึงการนำเงินบริษัทมาซื้อหุ้นตัวเองที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีเกณฑ์กำหนดไว้น่าสนใจ คือ กรณีที่บริษัทจะทำการซื้อหุ้นคืน ต้องเป็น บริษัทที่มีกำไรสะสม/มีสภาพคล่อง และต้องไม่กระทบกับการชำระหนี้ของบริษัทในอีก 6 เดือนข้างหน้า รวมทั้งต้องไม่ทำให้ Free Float น้อยกว่า 15%
นอกจากนี้ เรื่องการซื้อหุ้นคืน ต้องเป็นมติของคณะกรรมการบริษัท ซึ่งปัจจุบันมักจะต้องมีข้อคิดเห็นส่วนตนเป็นรายคนว่าลงมติไว้ว่าอย่างไร เพื่อแสดงความรับผิดชอบ หากเกิดสิ่งใดๆ ขึ้นในอนาคต เพราะมีตัวอย่างให้เห็นว่า การลงมตินั้นมีโอกาสรับโทษกันมาแล้ว และจากนั้น ต้องเปิดเผยมติต่อ ตลท. ภายในวันเดียวกัน หรือภายใน 09.00 น. ของวันทำการถัดไป
ขณะเดียวกัน การเปิดเผยเรื่องนี้จำเป็นต้องกระจายให้ผู้ถือหุ้นรับรู้ ซึ่งเกณฑ์ระยะเวลาในการเปิดเผยข้อมูล คือ ต้องเปิดเผย 14 วันล่วงหน้า ก่อนเริ่มซื้อหุ้นคืน จำนวนไม่เกิน 10% หรือหากเกินต้อง ส่งคำเสนอซื้อหุ้นแก่ผู้ถือหุ้น และ ตลท. ไม่น้อยกว่า 10 วัน ส่วนการเคาะราคาซื้อ ต้องไม่เกินราคาปิดของราคาเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้า เช่นเดียวกับระยะเวลาของการซื้อหุ้นคืน ต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 6 เดือน จากนั้น ต้องมีการขายออกให้หมดทั้งจำนวนภายใน 3 ปี (นับจากวันที่ซื้อครบ) และต้องเปิดเผยต่อ ตลท. ถือว่าเป็นการสิ้นสุดโครงการ กระบวนการนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือหุ้นที่ราคาตกไม่สมเหตุสมผล ในการป้องกันความมั่งคั่งที่จะถูกลดทอนลงไป แต่ในทางกลับกัน การใช้กระบวนการซื้อหุ้นคืนอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ อีกหลายประการที่ชวยสงสัย อาทิ การไล่เก็บหุ้นตัวเองเพื่อเตรียมไว้ขายให้กับนักลงทุน หรือกองทุนต่างชาติ หรือดึงหุ้นออกจากตลาดเพื่อทำให้เกิดดีมานด์-ซัปพลาย จนมีผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนในกรณีของ BEAUTY ผู้ถือหุ้นใหญ่ให้เหตุผลว่า การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้เป็นในนามบริษัทไม่ใช่อำนาจของซีอีโออย่างเดียว แต่ต้องผ่านอนุมัติของคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) และต้องตอบคำถามบอร์ดให้ได้ว่า กระแสเงินสด และหนี้ที่มี จะบริหารอย่างไร ซึ่ง ณ สิ้น 31 มี.ค. BEAUTY มีกระแสเงินสด 1,200 ล้านบาท ถือว่ามีเพียงพอที่จะดำเนินการซื้อหุ้นคืนได้ ขณะเดียวกัน บริษัทมีหนี้สินทางการค้า 1,300 ล้านบาท ซึ่งจะจ่ายชำระเป็นรายเดือนไม่ใช่เป็นการจ่ายหมดทั้งก้อน และยังมีเงินสดทยอยเพิ่มเติมเข้ามาจากการขายสินค้าในแต่ละเดือนต่อเนื่องอีกด้วย
ขณะที่สัดส่วนหุ้นที่ซื้อคืนคิดเป็น 2.13% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายทั้งหมดนั้น ฝ่ายบริหารยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้คำนวณเอง อีกทั้งบอร์ดไม่ได้เป็นผู้กำหนด แต่มาจากที่ปรึกษาการเงินได้คำนวณแล้วออกมาเป็นสัดส่วนดังกล่าว
ทั้งนี้ มีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมการซื้อหุ้น BEAUTY คืนครั้งนี้ไม่เป็นการซื้อหุ้นคืนในนามตัวเองของนายแพทย์สุวิน ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยในเรื่องนี้เจ้าตัวชี้แจงว่า ส่วนตัวไม่มีนโยบายซื้อหุ้นคืน อีกทั้งหากซื้อหุ้นคืน จะมีคนมาต่อว่าอยู่ดีว่ามาซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาถูกเอาเปรียบรายย่อย จากที่เคยขายหุ้นออกไป จึงขอยืนยันว่าจะรักษาสัดส่วนที่มีอยู่ตอนนี้ไม่หนีไปไหน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นการซื้อหุ้นคืนในนามบริษัท กับในนามผู้ถือหุ้นใหญ่ถือเป็นเรื่องที่นักลงทุนหลายรายไม่มองข้ามผ่าน เนื่องจากจากก่อนหน้านี้นายแพทย์ สุวิน ออกมายืนยันบ่อยครั้งว่าไม่มีนโยบายซื้อหุ้น BEAUTY กลับมาสู่พอร์ต แต่จากนั้น กลับมีมติบริษัทประกาศออกมาไล่ซื้อหุ้น กรณีแบบนี้เรียกว่า “พลิกลิ้น” ได้หรือไม่? และเรื่องดังกล่าวช่วยสร้างเชื่อมั่น หรือฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหุ้น BEAUTY มากน้อยเพียงใด หากเทียบกับกรณีประกาศซื้อหุ้นคืนล็อตใหญ่ของ “อนันต์ อัศวโภคิน” ซึ่งขอซื้อหุ้นบริษัทตนเองอย่าง บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันต่ำกว่าราคาที่แท้จริง และ LH เป็นหุ้นที่มีอนาคตมีผลตอบแทนปีละ 6-7% จึงต้องการักษาสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ไว้ ที่ผ่านมากลับเป็นสิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจของนักลงทุนต่อหุ้น LH ในด้านศักยภาพธุรกิจ และสัดส่วนผู้ถือหุ้น จึงเป็นเรื่องให้น่าคิดว่า หากผู้ถือหุ้นใหญ่ตัดสินใจกลับมาซื้อหุ้นคืน เพื่อช่วยการันตีศักยภาพธุรกิจของบริษัทในยามนี้ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่อหุ้น BEAUTY ได้มากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับการใช้มติบอร์ดให้บริษัทเป็นผู้ไล่ซื้อหุ้นคืนเอง เพราะอย่างน้อยจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เพิ่มขึ้น น่าจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหุ้นของบริษัทได้ในระดับหนึ่งว่า อย่างน้อยกลุ่มของผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจของ BEAUTY และไม่คิดที่จะถอนการลงทุนในช่วงนี้
โดยรวมการประกาศซื้อหุ้นคืนของ BEAUTY จะช่วยรองรับแรงตกของราคาหุ้นได้ระดับหนึ่ง แต่จากนั้น บริษัทต้องพยายามให้ผ่านพ้นการประกาศงบไตรมาส 2/61 ที่ชะลอตัวไปให้ได้ และลุ้นให้ผลดำเนินงานไตรมาส 3/61 ฟื้นตัว แต่ท้ายที่สุด หลายฝ่ายเชื่อว่า การจะผลักดันให้ราคาหุ้นฟื้นตัวกลับไปอยู่จุดสูงสุดเดิมนั้นเป็นเรื่องยาก เว้นแต่บริษัทจะโชว์ศักยภาพผลดำเนินเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกหลายๆ ปีติดต่อกัน
ดังนั้น สิ่งที่ต้องติดตามจาก BEAUTY ต่อจากนี้ คือ ผลการตรวจสอบจาก ก.ล.ต. ว่าจะมีใครได้ประโยชน์จากข้อมูลอินไซด์ในกรณีขั้นตอนการประกาศซื้อหุ้นคืนมีปัญหาบ้างมากน้อยเพียงใด จากนั้น คือ ปริมาณหุ้น BEAUTY ที่บริษัทจะซื้อคืนนั้น จะทำตามจำนวนที่บอร์ดมีมติออกมาหรือไม่? หรือซื้อคืนจนกระแสเงินสดบริษัทหมดลง จนอาจทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องหรือไม่ ? และผลดำเนินงานไตรมาส และไตรมาส 3 ปีนี้ จะเป็นไปอย่างที่ผู้บริหารคาดการณ์ไว้หรือไม่ ?