xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐี KTC เงินหด 7 พันล้าน / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลังจากแตกพาร์ (สปลิทหุ้น) หุ้นบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ม้วนเสื่อรูดลงทันที โดยเฉพาะวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมาเพียงวันเดียว ถูกถล่มจนติดฟลอร์ นักลงทุนที่ขายไม่ทัน สูญเสียความมั่งคั่งโดยถ้วนหน้า

แต่นักลงทุนที่เสียโอกาสหนักที่สุด คนไม่มีใครเกิน นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง รองจากธนาคารกรุงไทย ซึ่งครอบครองหุ้น KTC อยู่จำนวนทั้งสิ้น 432.56 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท ) หรือถือหุ้นในสัดส่วน 16.78 % ของทุนจดทะเบียน

เพราะไม่ได้ขาย KTC ออกแม้แต่หุ้นเดียว ตลอด 2 ปีเศษ ที่ผ่านมา นับตั้งแต่หุ้นตัวนี้ราคายังไม่ไต่ระดับขึ้นสู่เลข 3 หลัก

ราคาหุ้น KTC เคยพุ่งขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2545 โดยทะยานขึ้นไปที่ 382 บาท เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ก่อนที่จะประกาศแตกพาร์จาก 10 บาท เหลือพาร์ 1 บาท

หุ้น KTC ประเดิมซื้อขายด้วยราคาพาร์ใหม่ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาปิดที่ 33 บาท ลดลง 2.40 บาท และวันที่ 16 กรกฎาคม ถูกถล่มหนักอีก ราคาปิดที่ 23.10 บาท ลดลง 9.90 % หรือลดลง 30 % ติดพื้นต่ำสุดตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์


นักลงทุนที่แห่เก็งกำไรจากการสปลิทหุ้น เจ็บสาหัสตาม ๆ กัน เพราะจากจุดสูงสุดที่ 38.20 บาท ลงมาเหลือ 23.10 บาท ราคาลดลง 15.10 บาท หรือลดลงเกือบ 40 %


แต่คนที่ถูกกระทบมากที่สุด จากการปรับฐานใหญ่ของ KTC รอบนี้คือ นายมงคล ซึ่งไม่ได้ขายหุ้นออก แม้ราคาจะขยับขึ้นไปเกือบ 400 บาทก็ตาม

นอกจากไม่ได้ขายหุ้นออกแม้แต่หุ้นเดียว ในระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมาแล้ว นายมงคลยังทยอยซื้อหุ้น KTC เพิ่มอีกด้วย โดยปลายปี 2559 ซื้อเพิ่มเล็กน้อย แต่เดือนธันวาคม 2560 ซื้อเพิ่มอีกกว่า 50 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท)หรือซื้อในสัดส่วน 2.15 %ของทุนจดทะเบียน ทุ่มเงินลงทุนหุ้นตัวนี้เพิ่มเติมอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท


นายมงคลปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้น KTC ครั้งแรก เมื่อเดือนมีนาคม 2556 โดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง ถือหุ้นในสัดส่วนกว่า 12 % ของทุนจดทะเบียน โดยคาดว่าทยอยเก็บหุ้นที่ต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 30 บาท


ตลอดระยะเวลา 5 ปี แม้จะมีการขายหุ้นออกบ้าง แต่กลับมาซื้อคืนหมด และเก็บสะสมเพิ่ม จนสัดส่วนเพิ่มเป็น 16.78 % ของทุนจดทะเบียน มีหุ้นในมือทั้งสิ้น 432.56 ล้านหุ้น


ช่วงที่ราคาหุ้น KTC พุ่งไประดับ 382 บาท ( พาร์10 บาท ) ถ้านายมงคลขายหุ้นออก จะเป็นโอกาสเก็บเกี่ยวกำไรดีที่สุด


จากต้นทุนประมาณ 30 บาท ขายที่ราคาเฉลี่ยสัก 350 บาท มีหุ้นจำนวน 432.56 ล้านหุ้น กำไรหุ้นละ 320 บาทกำไร นำมาคูณกันแล้ว ไม่อยากจะคิดถึงตัวเลขกำไรโดยรวมว่าเป็นเท่าไหร่


แต่นายมงคลกลับไม่ขายแม้แต่หุ้นเดียว จนราคาลงมายืนที่ 23.10 บาทแล้ว ซึ่งหากคำนวณการเสียโอกาส ระหว่างราคา 382 บาท หรือ 38.20 บาทในพาร์ใหม่ กับราคาล่าสุดที่ 23.10 บาท จะมีส่วนต่างหุ้นละ 15.10 บาท

หุ้นจำนวน 432.56 ล้านหุ้น คำนวณกับมูลค่าที่หายไปหุ้นละ 15.10 บาท คิดเป็นเงินที่นายมงคลทำหล่นหาย จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 6,822 ล้านบาท


ถ้าเป็นนักลงทุนทั่วไป คงทำใจไม่ได้กับความมั่งคั่งที่หายไปเกือบ 7,000 ล้านบาท ภายในช่วงเวลาประมาณ 2 เดือน แต่สำหรับนายมงคล อาจคิดเสียดายบ้างในฐานะปุถุชนคนลงทุน แต่คงไม่ถึงขั้นฟูมฟาย


เพราะถ้ามองโลกในแง่ดี แม้ KTC จะวูบลงเหลือ 23 บาท แต่ยังมีกำไรเกือบ 700% ในช่วงเวลาการลงทุนเพียง 5 ปี


และไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง นายมงคลก็ไม่ขายหุ้นออกมาอยู่ดี แต่คงถือยาวต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาการทำกำไรที่เหมาะสม ซึ่งตอบแทนไม่ได้ว่า เมื่อไหร่


KTC ทรุดรอบนี้ ไม่รู้ว่าใครจุดชนวนถล่มแหลก และจะถูกถล่มต่อไปหรือไม่ แต่มีข่าวดีสด ๆ ร้อนเข้ามาแล้ว โดยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 มีกำไรสุทธิ 1,305.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66 % เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผลประกอบการ KTC ยังเติบโตต่อเนื่อง


KTC ที่ถูกทุบจนถอยร่นลงมาลึก จะถือวิกฤตเป็นโอกาสซื้อของถูกหรือไม่ ตัดสินใจกันเอง


(สั่งจองหนังสือ “หุ้นวายร้าย” ราคาเล่มละ 190 บาท จากราคาเต็ม 240 บาท โทร. 0-2629-2700 , 08-2782-8353 , 08-2782-8356 )


(สั่งจองหนังสือ “หุ้นวายร้าย” ราคาเล่มละ 190 บาท จากราคาเต็ม 240 บาท โทร. 0-2629-2700 , 08-2782-8353 , 08-2782-8356 )


กำลังโหลดความคิดเห็น