ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ การพัฒนาการเงินในอนาคตในโลกที่มีความซับซ้อนสูง ทำให้ต้องวางนโยบายสำคัญ 3 เรื่องรองรับทั้ง ผลิตภาค ระบบภูมิคุ้มกัน และการสร้างประโยชน์แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจในอาเซียนหรือ บลูมเบิร์ก อาเซียน บิสสิเนส ซัมมิต (Bloomberg ASEAN Business Summit) ครั้งที่ 4 ถึงการพัฒนาด้านการเงินแห่งอนาคตว่า ในโลกที่มีความไม่แน่นอน มีความซับซ้อนสูงขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างหลายอย่าง ธปท. มี 3 เรื่องสำคัญที่เป็นแนวนโยบายหลักใช้สำหรับการพัฒนาระบบการเงินในอนาคต คือ 1. ระบบการเงินไทยต้องมีผลิตภาพที่สูงขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน 2. ระบบการเงินต้องมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีมีเสถียรภาพที่ดีในระดับหนึ่ง มีกันชนรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ และ 3. ประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจะต้องได้รับประโยชน์ ซึ่งข้อนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญ
นายวิรไท กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธปท. มีแนวร่วมพัฒนาระบบการเงินแห่งอนาคตกับหลายธนาคารพาณิชย์ ที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ โครงการพร้อมเพย์ เป็นโครงการที่เพิ่มผลิตภาพ เพราะช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกรรมโอนเงินให้กับประชาชน และภาคธุรกิจ ช่วยลดต้นทุนการบริหารเงินสดของประเทศโดยรวม ขณะที่สถาบันการเงินได้รับประโยชน์จากต้นทุนการบริหารเงินสดที่ลดลง ประชาชนรายย่อยได้รับประโยชน์จากการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่มีค่าธรรมเนียม ขณะที่เศรษฐกิจของอาเซียนยังเติบโตในระดับดีมาก ที่ผ่านมามีทั้งธนาคารพาณิชย์ไทย และธุรกิจขนาดใหญ่ของไทย เห็นศักยภาพของอาเซียน จึงออกไปลงทุนรวมทั้งสร้างการเชื่อมโยงทางด้านการเงินทางด้านห่วงโซ่การผลิตในหลายมิติ ตลาดอาเซียนยังเป็นตลาดสำคัญที่สถาบันการเงินไทย และธุรกิจไทย จะให้ความสำคัญต่อไป ดังจะเห็นได้จากมีการออกไปลงทุนมากในประเทศเพื่อนบ้าน และในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงศักยภาพของเศรษฐกิจอาเซียน
สำหรับความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางของกลุ่มประเทศในอาเซียนที่ผ่านมาได้มีการหารือกัน ได้แก่ การส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่น เพราะธุรกรรมทางการค้าของกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันเพิ่มสูงขึ้นโดยขณะนี้ประเทศไทยได้เริ่มกับประเทศอินโดนีเซียแล้ว และขยายไปยังประเทศอื่น การส่งเสริม qualify arsean bank ที่ช่วยให้ธนาคารพาณิชย์จากประเทศในกลุ่มอาเซียน ประเทศใดประเทศหนึ่งไปเปิดให้บริการในอีกประเทศหนึ่งได้ง่ายขึ้น ซึ่งประเทศไทยได้สรุปการเจรจากับประเทศมาเลเซียไปแล้วขบวนการต่อไป คือ ผ่านการพิจารณาของสภาของทั้งสองประเทศรับรองต่อไป
นอกจากนี้ ยังเห็นความสำคัญที่จะพัฒนาระบบป้องกันความเสี่ยงทางด้านไซเบอร์ของธนาคารในกลุ่มประเทศอาเซียน ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนข้อมูลกรณีที่สถาบันการเงินในประเทศใดประเทศหนึ่งถูกภัยไซเบอร์เพื่อให้ประเทศอื่นๆ ได้เตือนสถาบันการเงินในประเทศของตน และมีมาตรการป้องกันได้รวดเร็ว อีกเรื่อง คือ การส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ เพราะปัจจุบันมี Fintech Firm อยู่จำนวนไม่น้อย ขณะที่ธนาคารพาณิชย์หา application หาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้