ศุภาลัย เดินหน้าสร้างอาณาจักร ขึ้นแท่นยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาฯ ประกาศให้บริษัทลูก เข้าซื้อหุ้นสามัญกิจการทั้งหมดของบริษัท มั่นคงเคหะการฯ จำนวน 992,010,177 หุ้น ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 4.10 บาท รวมเป็นมูลค่า 4,067.24 ล้านบาท คาดเป็นผลดี เพิ่มขนาดพอร์ตโครงการอสังหาฯ หนุนธุรกิจรายได้จากโครงการเพื่อเช่าสนามกอล์ฟ และที่ดินอีกจำนวนมาก ขณะที่บอสใหญ่ศุภาลัย “ประทีป ตั้งมติธรรม” โผล่ถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วน 11.29%
นางวารุณี ลภิธนานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการและเลขานุการบริษัท บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ครั้งที่ 7/2561 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท ศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จํากัด (SPM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทศุภาลัยฯถือหุ้นร้อยละ 99.99 เข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท มั่นคงเคหะการ จํากัด (มหาชน) (“กิจการ” หรือ MK) โดยการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการโดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) ตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ (รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกาศการเข้าถือหลักทัพย์เพื่อครอบงํากิจการ”) ในราคาหุ้นละ 4.10 บาท และภายใต้เงื่อนไขว่า SPM จะทําการยกเลิกคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด หากเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้ว มีผู้เสนอขายหุ้นจํานวนน้อยกว่าร้อยละ 25.00 ของหุ้นที่ออกและจําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ MK
บริษัทจะดำเนินการให้ SPM ยื่นแบบประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการภายใน 3 วันทําการ นับจากวันที่ประกาศต่อสาธารณชน และคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ (แบบ 247-4) ภายใน 7 วันทําการ นับจากวันที่ประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ
ทั้งนี้ การทําคําเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ MK จํานวน 992,010,177 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100.00 ของทุนจดทะเบียนและชําระแล้วของ MK โดยจะเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจากผู้ถือหุ้นของ MK ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 4.10 บาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 4,067.24 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินที่ SPM จะมาดำเนินการ จะได้รับการสนับสนุนเงินทุจากบริษัทแม่ โดยการเพิ่มทุนและ/หรือการกู้ยืมจากบริษัท และ/หรือได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน สําหรับทําคําเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของกิจการ MK
ทั้งนี้ บริษัท และ SPM ไม่มีรายการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์รายการอื่น ที่เกิดขึ้นนระหว่าง 6 เดือนก่อนวันที่มีการตกลงเข้าทํารายการครั้งนี้ ขนาดรายการสูงสุดของรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์จะเท่ากับร้อยละ 22.29 ตามเกณฑ์มูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิ ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการประเภทที่ 2 ตามประกาศรายการได้มาหรือจําหน่ายไป โดยมีมูลค่าเท่ากับร้อยละ 15 หรือสูงกว่า แต่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ดังนั้น บริษัทจึงมีหน้าที่ต้องจัดทํารายงานและเปิดเผยสารสนเทศการ ทํารายการดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ และจัดส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหุ้นภายใน 21 วัน นับแต่วันที่เปิดเผยรายการต่อตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 รายแรก ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2561 ปรากฏว่า นายประทีป ตั้งมติธรรม ถือหุ้น 112,038,620 หุ้น สัดส่วนร้อยละ 11.29
สำหรับประโยชน์อันเกิดจากการเข้าทำคำเสนอกิจการกับ MK นั้น ได้แก่ 1. โอกาสในการลงทุนในบริษัท ซึ่งมีทรัพย์สินที่บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ เช่น ที่ดินเปล่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนา เป็นต้น
2. โอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการที่บริษัท และ MK มีจุดเด่น และความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน โดยการผสานทรัพยากรด้านความรู้, ความเชี่ยวชาญ, เทคโนโลยี, รูปแบบสินค้า, ตราสินค้า, การก่อสร้าง, การจัดซื้อ, ความแข็งแกร่งทางการเงิน และบุคลากร อีกทั้งเพิ่มอํานาจต่อรองกับผู้รับเหมาในการจัดหาวัตถุดิบ และการก่อสร้าง เนื่องจากมีขนาดการลงทุน และการก่อสร้างรวมที่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว และเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจในด้านต่างๆ
3. เพิ่มโอกาสในการเติบโตของบริษัท จากการขยายธรุกิจ และการลงทุนไปยังธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการ และ 4. ขยายการลงทุนให้ครอบคลุมประเภทของสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า และบริการ และเพิ่มสัดส่วนรายได้จากรายได้ค่าเช่า และค่าบริการ (Recurring Income) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านผลประกอบการ โดยการกระจายรายได้ให้มาจากหลากหลายประเภททรัพย์สิน
สำหรับบริษัท มั่นคงเคหะการฯ โดยธุรกิจ ประกอบด้วย 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และ (2) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า และบริการ ตามข้อมูลในรายงานประจําปี 2560 ของ MK โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(1) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย
MK ได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมาแล้วกว่า 64 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้ชื่อ “ชวนชื่น” และ “สิรีนเฮ้าส์” รูปแบบผลิตภัณฑ์ของ MK ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม โดย MK จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการเข้าอยู่ทันที โดยระดับราคาบ้านของ MK เฉลี่ยประมาณเท่ากับ 2.0-5.0 ล้านบาท ในปี 2560 MK มีโครงการประเภทที่อยู่อาศัยที่เปิดดําเนินการทั้งหมด 12 โครงการ
(2) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการ
เป็นธุรกิจที่ MK มุ่งเน้นให้เกิดรายได้ค่าเช่าค่าบริการในระยะยาว และต่อเนื่อง (Recurring Income) ซึ่งปัจจุบัน MK มีอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการหลายประเภท ได้แก่ ธุรกิจอาคารคลังสินค้า และอาคารโรงงานให้เช่า ขนาดพื้นที่ประมาณ 350 ไร่ ตั้งอยู่ในโครงการ Bangkok Free Trade Zone เป็นพื้นที่สัญญาเช่าช่วงที่ดิน โดยบริษัทย่อยของ MK และในโครงการดังกล่าว ยังมีพื้นที่อีกประมาณ 700 ไร่ ซึ่ง MK วางแผนจะพัฒนาเป็นพื้นที่สําหรับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพาณิชย์ในรูปแบบอาคารโรงงาน และคลังสินค้าให้เช่า
นอกจากนี้ MK ยังมีอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าประเภทอาคารสํานักงานในอาคารมั่นคงเคหะการ สําหรับพื้นที่ในส่วนที่บริษัทไม่ได้ใช้ประโยชน์ โครงการอพาร์ตเมนต์เพื่อเช่า โดยใช้ชื่อโครงการ Park Court สุขุมวิท 77 จํานวน 5 อาคาร อาคารละ 7 ชั้น จํานวน 14 ยูนิตต่ออาคาร ขนาด 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยประมาณ 260 ตารางเมตร (ตร.ม.)
ในส่วนของธุรกิจบริการ MK มีธุรกิจสนามกอล์ฟ “ชวนชื่น กอล์ฟ คลับ” ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟ 18 หลุม พร้อมคลับเฮาส์ และสนามไดร์ฟกอล์ฟ โดยมีพื้นที่ประมาณ 400 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนกรุงเทพฯ-ปทุมธานี อําเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี และ MK ยังมีธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับการรับบริหารจัดการอาคารอีกดัวย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อพิจารณา มูลค่ารวมของสินทรัพย์ที่้ได้มา เมื่อคํานวณจากมูลค่าตามบัญชี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 อ้างอิงจากงบการเงินที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีเท่ากับ 14,359.06 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ของกิจการเท่ากับ 6,603.94 ล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ณ 09-07-61) มูลค่า 3,194.27 ล้านบาท และหากเมื่อมาพิจารณของบริษัทศุภาลัยฯ ซึ่งทำคำเสนอซื้อกิจการแล้ว จะพบว่าบริษัทศุภาลัย มีตัวเลขสินทรัพย์ในงบการเงินไตรมาสแรกของปี 61 อยู่ที่ 56,144.68 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 26,574.71 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ณ 09-07-61) อยู่ที่ 47,745.31 ล้านบาท แต่หากขั้นตอนการทำคำเสนอซื้อกิจการเป็นผลสำเร็จ หากพิจารณาในด้านสินทรัพย์แล้ว ก็จะทำให้บริษัทศุภาลัย มีมูลค่าสินทรัพย์ทะลุถึง 70,502 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 116,127 ล้านบาท มีมาร์เกตแคป 137,421.70 ล้านบาท รองลงมา เป็นบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์ 84,304.15 ล้านบาท มาร์เกตแคป เพียง 23,929 ล้านบาท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ สินทรัพย์ 77,061.24 ล้านบาท มาร์เกตแคป 44,207.80 ล้านบาท และบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) สินทรัพย์ 47,074.66 ล้านบาท มาร์เกตแคป 28,155.80 ล้านบาท.