ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทยจัดสัมมนาร่วมนักลงทุนอนุพันธ์แนะกลยุทธ์และเทคนิคในการเทรด TFEX หวังให้นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ และปรับใช้ให้เข้ากับพอร์ตการลงทุนและรูปแบบที่ถนัดของตนเอง
ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ TFEX ได้จัดงานสัมมนา TFEX Trader Day 2018 เพื่อหวังให้นักลงทุนได้มีความรู้และความเข้าใจการลงทุนด้านอนุพันธ์มากขึ้น โดยได้นักลงทุนด้านอนุพันธ์ที่มีประสบการณ์ในการลงทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามาเป็นวิทยากร โดยในงานสัมมนาดังกล่าว มีนายสุทธิสิทธิ์ แจ่มดี รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ธุรกิจหลักทรัพย์ บล. กสิกรไทยได้แนะนำเทคนิคการเทรด Futures-Options โดยมองว่า ในความเป็นจริงแล้ว การซื้อขาย Futures-Options ไม่ได้ยากหรือซับซ้อนอย่างที่ผู้ลงทุนคิด เพราะที่ผ่านมา ผู้ลงทุนหลายคนก็ได้ซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่นด้วยตัวเองมานานแล้วแบบไม่รู้ตัว เช่น การลงทุนในวอร์แรนท์ (Warrant) และดีดับบลิว (Derivatives Warrant) ถ้าหากเปรียบเทียบการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ กับชีวิตของคนทั่วไป กว่าจะเดินหลังตรงและแข็งแรงได้ ก็เริ่มต้นมาจากการคลาน เดินเตาะแตะ เดินเร็ว และเดินหลังตรงได้ในที่สุด เฉกเช่นเดียวกับ ตลาดตราสารอนุพันธ์ที่ยุคต้น ๆ อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับ โดยผู้ลงทุนอาจมองว่าเป็นการลงทุนที่ซับซ้อน และลงทุนยาก จึงทำให้ช่วงเริ่มต้น การสร้างการรับรู้และการเข้าถึง ถือเป็นเรื่องยาก แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ การซื้อขาย Futures-Options เติบโตอย่างต่อเนื่อง อาจจะอยู่ในระดับที่เรียกว่าเริ่มเดินเร็วขึ้น และกำลังจะวิ่ง เนื่องจากตลอดช่วงที่ผ่านมา ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX ได้เสริมสร้างภูมิความรู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั้งมือใหม่และมือเก๋าอยู่ตลอดเวลา และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ลงทุนเห็นประโยชน์ และเร่งเรียนรู้กันมากขึ้น รวมถึงรับรู้แล้วว่า การซื้อขายอนุพันธ์ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด แถมยังใช้ช่วยกระจายความเสี่ยง และสร้างกำไรได้ตลอด หากจับจังหวะการเทรดได้ถูกต้อง
“ผมมีความพยายามที่จะผลักดันให้ตลาด Options เกิดเหมือนเมืองนอก เพราะหากคุณมีความเข้าใจ จะเป็นตราสารที่ซื้อขายได้สนุกที่สุด สำหรับตลาดออปชั่นของไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มเติบโตมากขึ้น ซึ่งถึงเวลาที่ต้องเดินเร็วขึ้น และต้องวิ่งได้แล้ว”
อย่างไรก็ตามความแตกต่างของออปชั่นกับหุ้นว่า เวลาคนจะซื้อหรือขายหุ้น คือจะมอง หรือคิดอย่างเดียวว่า หุ้นที่ซื้อจะไปในทิศทางไหน จะขึ้นหรือลง เพราะถ้าเราคิดว่าหุ้นจะขึ้น ก็จะเข้าไปซื้อหุ้น (Long Stock) หรือมองว่าหุ้นเอาไว้ทำกำไรขาขึ้นอย่างเดียว โดยนักลงทุนจะรอให้หุ้นตกลงมาจากนั้นถึงเข้าไปซื้อ หรือหวังว่าหุ้นจะขึ้นถึงค่อยขาย หรือถ้ามั่นใจทิศทาง เช่น ถ้ามองว่าหุ้นจะลงหนัก และมีหุ้นอยู่ในพอร์ต คุณก็ขายหุ้นที่อยู่ในพอร์ตออกไปก่อนบางส่วน แล้วค่อยไปซื้อกลับมาเท่าเดิม คือเท่ากับจำนวนที่คุณขายออกไปในช่วงที่หุ้นลง แบบนี้เรียกว่าเป็นการ Short against port ซึ่งวิธีแบบนี้จะช่วย Save การขาดทุน แต่ยังไม่ได้ทำเงินให้พอร์ตการลงทุน
แต่ในขณะเดียวกันถ้าไม่มีหุ้นในพอร์ต ก็ยังสามารถไปยืมหุ้นเขามาขาย (Short หุ้น) ก่อนได้ โดยการไปขอยืมหุ้นจากโบรกเกอร์มา ซึ่งเรียกว่า บริการยืมหุ้น หรือให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending: SBL) หรือบริการเอสบีแอล ซึ่งวิธีนี้ เวลาที่คิดว่าหุ้นจะลงแต่ไม่มีหุ้นในพอร์ต ก็ไปยืมหุ้นคนอื่นมาขายในราคาสูง แล้วพอหุ้นลงก็ไปซื้อกลับในราคาที่ถูก ซึ่งเมื่อได้หุ้นแล้ว ก็ค่อยเอากลับไปคืนเจ้าของหุ้น ในส่วนของหุ้นในพอร์ตก็จะเก็บส่วนต่างกำไร และจ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าของหุ้นที่คุณยืมมา อันนี้เรียก Short Selling และนี่ก็คือการจับจังหวะการทำกำไรจากการลงทุนในหุ้น
“เรียกว่าการทำกำไรหรือการขาดทุน ถ้ามองถูกทางว่าหุ้นขึ้นจะได้กำไรไม่อั้น แต่ถ้าผิดทางก็จะขาดทุนอย่างมหัศจรรย์เช่นกัน”
ขณะที่จนถึงปัจจุบันนี้ TFEX เติบโตขึ้นมากว่า 12 ปี สิ่งที่เกิดขึ้น คือ การมีอนุพันธ์ให้ผู้ลงทุนได้เลือกซื้อขาย ซึ่งอนุพันธ์ตัวแรกนั่นก็คือ Futures ที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้น แต่การเทรดหุ้น หรือการเทรด Futures ก็จะคิดแค่ทางเดียว คือ ทิศทางจะขึ้นหรือลง ตัวอย่างเช่น เวลาคุณซื้อขายฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ถ้าดัชนีหุ้นขึ้น ก็จะกำไรได้เรื่อยๆ แต่ถ้าดัชนีหุ้นลงก็จะขาดทุน
ดังนั้นการที่ต้องมองว่าทิศทางจะขึ้นหรือลงเท่านั้น ไม่สามารถตอบโจทย์ได้จริง เพราะในความเป็นจริง ดัชนีหุ้นไม่ใช่มีแค่เพียงขาขึ้นกับขาลง แต่มี Sideway ด้วย ดังนั้นหากดัชนีหุ้นมีอาการ Sideway คนที่มีหุ้น หรือมีฟิวเจอร์สอยู่ในพอร์ตจะทำอะไรไม่ถูก เพราะราคาจะไม่ไปไหน และยิ่งถ้าหากราคาหุ้นลง คุณก็จะเกิดอาการตื่นเต้นและขายหุ้นออก แล้วยอมขายขาดทุน แต่พอเห็นหุ้นขยับขึ้นนิดหน่อย ก็รีบเข้าไปซื้อ เพราะคิดว่าหุ้นจะขึ้น แต่หุ้นกลับลง แล้วคุณก็ขาย และขาดทุนรอบสอง ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะเสียค่าคอมมิชชั่นโดยเปล่าประโยชน์
ในสภาพตลาดหุ้น Sideway ต่อให้มีเทคนิคเข้ามาช่วย ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตการลงทุนง่ายอย่างที่คิด จะเห็นได้ว่าหากดัชนี Sideway หุ้นและฟิวเจอร์สไม่สามารถตอบโจทย์คนที่ถืออยู่ได้ แต่ถ้าทิศทางตลาดหุ้นมีอาการ Sideway ออปชั่นสามารถตอบโจทย์การลงทุนและเปิดช่องให้สามารถทำกำไรได้ โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าคนที่ซื้อขายออปชั่นกำไรมหาศาล แต่คนซื้อขายฟิวเจอร์สเทรดได้ยากมากเพราะตลาดค่อนข้าง Sideway
สำหรับการเทรดออปชั่นฝั่ง Long (Long Call, Long Put) การทำกำไรจะมีโอกาสทำกำไรได้ไม่อั้น แต่เวลาขาดทุน จะขาดทุนอย่างจำกัด แต่กรณีของการเทรดออปชั่นฝั่งชอร์ต (Short Call, Short Put) เวลาขาดทุนมีโอกาสขาดทุนแบบไม่จำกัด ซึ่งเป็นลักษณะของคู่สัญญา มีฝั่งหนึ่งได้ ก็ต้องมีฝั่งหนึ่งเสีย
“ถ้ามองว่าดัชนีหุ้นจะ Sideway ไปถึงสิ้นปี ผมซื้อขายหุ้นไปก็เท่านั้น ผมขายออปชั่น ใครไม่รู้มาซื้อแต่เขาต้องจ่ายเงินบางส่วนให้ผม เขาซื้อจากผมเขาต้องจ่ายเงินให้ผม กรณีดัชนีไม่ไปไหน คนซื้อออปชั่นจากผมก็ไม่ได้ใช้สิทธ์ แต่ผมเก็บเงินก้อนนี้ที่เขาจ่ายให้ผมใส่ในกระเป๋า พอหมดอายุ ผมก็ได้กำไรง่ายๆ”
ส่วนแนวคิดการสร้างกลยุทธ์นั้น นายสุทธิสิทธิ์ เปิดเผยว่า การลงทุนในออปชั่นจะประสบความสำเร็จได้ ต้องได้เงินกลับบ้านไปอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงไม่สนับสนุนให้เล่นออปชั่นแบบเก็งกำไร แต่ถ้าต้องการเก็งกำไรจริงจะต้องได้เงิน ดังนั้นแนวคิดการสร้างกลยุทธ์จากนี้ไป ต้องประเมินว่าดัชนีมีแนวโน้มจะอยู่ในระดับใด โดยการคาดการณ์นั้น จำเป็นต้องมีข้อมูลที่ดี มีการวิเคราะห์ที่ดี และมีการประมวลผลที่ดี ซึ่งเมื่อได้มุมมองทิศทางในหัวตัวเองแล้ว จึงค่อยหยิบเครื่องมือที่อยู่ตรงหน้าเรามาทำเป็นกลยุทธ์หาเงิน จากนั้นก็เป็นการซื้อขายจริง โดยจะต้องดำเนินการให้จบรอบ พร้อมติดตามผล โดยดูว่าผลที่ได้ออกมาดีหรือไม่ และต้องประเมินด้วยว่า ดีเพราะอะไร หรือไม่ดีเพราะอะไร แล้วก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
“นี่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ส่วนตัว ต้องบอกได้ด้วยว่าระยะสั้น กลาง ยาวเป็นอย่างไร จะขึ้นหรือลง เรียกว่าต้องมีกรอบของเวลาเข้ามาด้วย”
ทั้งนี้ เมื่อเรามีเป้าหมายที่เราคาดการณ์แล้ว ก็จะต้องมีข้อมูล ซึ่งข้อมูลนั้น จะต้องเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีและยิ่งมีปริมาณมากจะยิ่งส่งผลดี ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลพื้นฐาน เช่น นโยบายภาครัฐของในประเทศและต่างประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจ การเมือง เงินทุนไหลเข้าออก ตัวเลขสถิติที่สำคัญ เช่น กำไรบริษัทจดทะเบียน ตัวเลขนักท่องเที่ยว รวมถึงค่าความผันผวน เช่น ค่าความผันผวนของตลาดหุ้นไทย และประเด็นข่าวสำคัญที่ต้องติดตาม ดังนั้นคนที่ซื้อขายออปชั่น แล้วทำการบ้านเยอะ ก็มีโอกาสจะได้เงินของอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นคู่สัญญาที่ทำการบ้านมาน้อยกว่าค่าความผันผวนของดัชนีหุ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคนที่ซื้อขายออปชั่น โดยปกติค่าความผันผวนของดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ที่ประมาณ 10% เวลาที่ผันผวนต่ำดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 10 จุด ส่วนช่วงผันผวนสูงดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 30 - 40 จุด ซึ่งค่าความผันผวนนี้ จะเป็นตัวส่งสัญญาณว่า ดัชนีหุ้นจะขึ้นหรือลง ยิ่งถ้าค่าความผันผวนต่ำมากๆ จะเป็นสัญญาณว่าดัชนีหุ้นกำลังจะเด้งขึ้น (ค่าความผันผวนจะมีค่าต่ำกว่า 0 ไม่ได้) แต่ถ้าค่าความผันผวนสูงมากๆ จะเป็นสัญญาณว่าดัชนีหุ้นกำลังจะดิ่งลง ดังนั้นเมื่อเห็นค่าความผันผวนต่ำมากๆ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราควรจะเข้าไปซื้อออปชั่น
ทั้งนี้ หากมาดูสภาพคล่องการซื้อขาย Options ของประเทศไทย นับว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัญญาคงค้างจำนวนมาก และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตมากกว่า 100%
ด้านนายธำรงชัย เอกอมรวงศ์ หรือ หยง เกิดมาเทรด นักลงทุนอิสระ และเป็นผู้เขียนหนังสือ “หยงเกิดมาเทรด” ได้ร่วมแนะนำมุมมองให้แก่ผู้ลงทุนเพื่อให้ผู้ลงทุนได้นำไปประยุกต์ใช้และเป็นไอเดียการเทรดในตลาด TFEX โดยไม่ได้พุ่งเป้าแนะนำให้ผู้ลงทุนใช้กราฟ หรือซื้อเลยขายเลยโดยไร้หลักการ แต่แนวคิดครั้งนี้เสนอแนะให้ผู้ลงทุนต้องคำนึงว่า แนวทางการเทรดในตลาด TFEX นั้น ต้องสามารถเข้ากับตัวนักลงทุนเองหรือเหมาะสมกับพฤติกรรมการลงทุนหรือไม่ เพราะการลงทุนไม่ว่าตลาดหุ้น หรือตลาด TFEX มักจะมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ลงทุนไม่ได้คาดหวัง และเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อพอร์ตที่ลงทุน
ดังนั้น ถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง สิ่งที่ต้องการให้ผู้ลงทุนเรียนรู้ นั่นก็คือ คุณจะรับมือกับสถานการณ์ตรงนั้นอย่างไร และจะบริหารความเสี่ยงที่ต้องเผชิญหรือกำลังจะเผชิญตรงหน้านั้นอย่างไร
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น กรณีของการลงทุนในหุ้น ถ้าซื้อหุ้น 1 ตัว แล้วหุ้นขึ้น 10% แล้วจะทำอย่างไรต่อ หรือ ถ้าซื้อหุ้น 1 ตัว แล้วหุ้นดิ่งลง แล้วจะทำอย่างไรต่อหรือกรณีเทรดใน TFEX ถ้า Long แล้วขึ้น หรือ Long แล้วลง จะทำอย่างไร
ดังนั้น ก่อนที่จะลงทุน ควรจะต้องมีการวางแผนหรือต้องวางกลยุทธ์ในการลงทุน เพราะเมื่อมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า หากเกิดสถานการณ์ต่างๆ จะทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงและรับมือกับความเสี่ยงได้ ที่สำคัญเมื่อมีการวางแผนแล้ว จะทำให้ไม่เสียหายเกินกรอบที่ออกแบบไว้ หรือหากได้กำไรก็ไม่ได้เกิดจากดวง แต่เกิดจากการวางแผน หรือตามกลยุทธ์ที่วางไว้ พูดง่ายๆ ว่า เทรดแบบมีกลยุทธ์ คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ แล้วเรารู้ว่าควรทำอะไร และห้ามเสียเกินกว่าที่ออกแบบเอาไว้
นอกจากนี้ สิ่งที่จะตอกย้ำให้ผู้ลงทุนตระหนักตลอดเวลา ก็คือ “ไม่ว่าจะเก่งขนาดไหน การลงทุนนั้น เราไม่ควรลงทุนในสินค้าใดสินค้าหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยในพอร์ตของคนที่เทรด TFEX ก็ควรมีการลงทุนในหุ้นด้วย หรือควรมีการกระจายความเสี่ยงด้วยนั่นเอง สำหรับคำแนะนำในการใช้โปรแกรมกราฟ หากผู้ลงทุนต้องการซื้อขายโดยใช้วิธีดูกราฟจริงๆ ควรเลือกดูกราฟตัวที่คุ้นเคย และไม่มีค่าใช้จ่าย”
ส่วนการเทรด Options ห้ามมองตัวเองเป็นนักเก็งกำไร เพราะหากสามารถเก็งกำไรด้วย Futures ได้อยู่แล้ว ดังนั้น การเทรด Options ผู้ลงทุนควรมองตัวเองเป็นนายธนาคาร หรือแบงเกอร์ เพราะการเป็นแบงเกอร์ จะหากินกับเวลา อย่างกรณี Options คือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ Options หมดอายุแล้วราคาไม่มากินทุน แล้วก็จะทำเช่นนั้นเวียนไปเรื่อยๆ
"สำหรับการเทรด Options ของผม 90-95% คือ Short Options ซึ่งควรลองเอาไอเดียไปพิจารณา"
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การเทรด Futures และ Options ซึ่งไม่ยุ่งยากและสามารถนำแนวความคิดไปปรับใช้เพื่อทำกำไรใน TFEX ได้สามารถสรุปได้ดังนี้
1.การลงทุนเป็น Spectrum ไม่ใช่ Level ไม่ได้เริ่มต้นจากเดย์เทรดไปสวิงเทรด นักลงทุนจะต้องประเมินว่าเหมาะกับแนวไหน แล้วลองแนวนั้นดูสักระยะหนึ่ง ว่ามันใช่หรือไม่ใช่
2. การลงทุนอาจทำให้เกิด Dunning-Kruger Effect คื อาการของคนไม่เก่งแต่คิดว่าตัวเองเก่ง ดังนั้น แม้การลงทุนช่วงแรกจะทำได้ดีมาก แต่ก็ยังไม่พอ จะต้องลองทำไปสักพัก เรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม จนระยะเวลาดีสม่ำเสมอประมาณ 2 ปี ถึงจะถือว่าพอใช้ได้
3. Pattern ซับซ้อนจะเกิดขึ้นน้อยกว่า ดังนั้น ผู้ลงทุนควรเล่นอะไรให้ง่ายๆ เข้าไว้
4. ไม่ได้ดูกราฟเพื่อหาเทคนิค แต่ดูกราฟเพื่อดูว่าคนที่ร่วมเล่นคิดอะไรอยู่ หวังเท่าไร ทำไมแถวนี้ขึ้นมาแล้วขึ้นต่อ ทำไมแถวนี้ขึ้นมาแล้วถูกตบลง ต้องหาให้เจอว่าสมาร์ทมันนี่คือใคร ซึ่งสมาร์ทมันนี่นั้น เป็นแท่งเทียนที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เช่น แท่งที่ชูทขึ้นมาในช่วงขาลง หรือแท่งแดงลงมาในช่วงขาขึ้น เป็นแท่งที่กำหนดทิศทางระยะสั้นของราคาหุ้นได้ ไม่ใช่เทรนด์
5. เล่นให้น้อย ได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ แต่ห้ามเสียเกินกว่าที่ออกแบบไว้ ถ้ากราฟไม่ชัวร์ ก็เล่นให้น้อยลง ห้ามไม่เล่นเลย เพราะการไม่เล่นเลย จะทำให้เกิดความคิดว่าเงื่อนไขต้องครบแล้วถึงเข้า จะเป็นการหลอกตัวเอง สะกดจิตตัวเอง ทำให้เสียรอบการลงทุนดี ๆ ไปมหาศาล เพราะไปมองว่าเงื่อนไขต้องครบ
6. ไปเก็บเบสิค โดยเฉพาะเรื่อง Options พยายามเป็นแบงเกอร์ใน Options ให้ได้ คุณจะได้เงินน้อยที่ความเสี่ยงต่ำ แต่จะได้เรื่อย ๆ อย่าคิดว่าเล่นออปชั่นแล้วรวยเปรี้ยง เป็นการความคิดที่เป็นการตลาด เทรดเดอร์ที่ทำจริง เขาไม่คิดรวยเปรี้ยงจากออปชั่น เขาคิดสร้าง Cash Flow จากการขาย Options และรอให้หมดเวลา
ขณะที่นายธวัชชัย ทองดี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. เอเชีย เวลท์เปิดเผยถึง กลยุทธการลงทุนแบบ Calendar Spread ที่มีความเสี่ยงต่ำว่า แม้เราจะมีประสบการณ์ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX มายาวนาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเก่งและเอาชนะการซื้อขาย Futures-Options ในตลาด หรือหอบหิ้วกำไรกลับบ้านไปได้เสมอไป โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนโดยไม่ได้ดูว่า สิ่งที่เราลงทุนนั้นเหมาะสมกับเราหรือไม่ โดยหากเกมการลงทุนไม่เหมาะสมกับเรา แม้จะพยายามมากแค่ไหน กว่าจะรู้ตัว เงินหน้าตักก็หมด โดยเฉพาะพวกนักเก็งกำไร หรือแม้แต่นักเทคนิเคิลที่นั่งดูกราฟหรืออ่านกราฟแล้วก็ตาม เพราะตลาด Futures-Options มีผู้ร่วมตลาดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรายย่อย รายใหญ่ ต่างชาติ หรือแม้แต่กองทุน
"แม้จะเป็นเกมที่ไม่ง่ายสำหรับรายย่อย แต่รายย่อยต้องพยายามอ่านเกมให้ออก โดยการอ่านแรงซื้อแรงขาย หรือ Flows ของ Player ที่สำคัญให้ออก แล้วนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์เทรดเก็งกำไรแบบ Calendar Spread สวน ซึ่งรายย่อยอาจคิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่ยาก แต่ในความเป็นจริงไม่ยากอย่างที่คิด"
ทั้งนี้ อันดับแรกต้องดูภาพรวมของแรงซื้อแรงขาย หรือ Flows ของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติก่อน โดยในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2552 นักลงทุนต่างชาติมีแรงซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ซึ่งช่วงนั้นดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 400 จุด จนถึงปัจจุบันไต่มาที่ระดับ 1,800 จุด ก่อนที่จะย่อตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ 1,700 จุดในขณะนี้ ดังนั้น หากเปรียบเทียบแรงซื้อของต่างชาติตั้งแต่ปี 2552-2556 พบว่าต่างชาติซื้อสุทธิสะสมแตะ 2 แสนล้านบาท และยอดซื้อสะสมก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีการขายออกมาบ้างก็ตาม
“ลองเทียบดัชนีจาก 400 จุดในปี 2552 กับดัชนีที่ขึ้นมาสูงสุดในช่วงต้นปี 2556 ที่ 1,640 จุด จังหวะนั้นต่างชาติซื้อเก็บตลอด แต่หลังจากปี 2556 เป็นต้นมา ต่างชาติก็เริ่มขายหุ้น จนถึงปัจจุบันขายสุทธิไปแล้ว 275,000 ล้านบาท”
อย่างไรก็ดีแม้ตลาดทำนิวไฮหรือต่างชาติมีแรงซื้องัดกลับขึ้นมาบ้างในปี 2559 จากขายสุทธิ 200,000 ล้านบาท มีแรงซื้อกลับทำให้ยอดขายสุทธิเหลือ 50,000 ล้านบาท นั่นแสดงว่าต่างชาติมีแรงซื้อกลับเข้ามา 150,000 ล้านบาท จึงทำให้ดัชนีช่วงนั้นปรับจากระดับ 1,200 จุด ขึ้นไป 1500 จุด แต่หลังจากนั้นต่างชาติก็มีแรงขายออกมาอีก จนทำให้ปัจจุบันกลับมาเป็นแรงขายสุทธิ 275,000 ล้านบาท
“ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติจากซื้อสุทธิ 200,000 ล้านบาท เปลี่ยนมาเป็นขายสุทธิ 275,000 ล้านบาท หรือเป็นการขายสุทธิไปแล้ว 475,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการเทขายหนักมาก ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวจึงทำให้ดัชนีหุ้นไทยย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน คือระหว่าง 1,600-1,800 จุด ส่วนแรงขายของเขาจะหมดเมื่อไรคงตอบยาก แต่ก็มีบางช่วงที่ขายไปแล้ว และยังอาจจะขายได้อีก เพราะหน้าตักเขายังมีกำไรเก่าอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นการขาย SET50 Index Futures ร่วมด้วย”
ส่วนเหตุผลที่มองว่านักลงทุนต่างชาติ อาจจะมีการขาย SET50 Index Futures ด้วย ก็ดูได้จาก ยอดซื้อขายสะสมของ SET50 Index Futures ในแต่ละวัน ถ้าต่างชาติ Net Long จะเป็นบวก แต่ถ้า Net Short ก็จะเป็นลบ เพราะต่างชาติจะเล่นตามเทรนด์ของเขา ดูพฤติกรรมดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม ราวเดือน ก.ค.-ส.ค. คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะปิด Short Futures เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนจะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสสองออกมา ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสปรับตัวลดลง และในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วง Low Season ด้วย ดังนั้นมีโอกาสมากที่นักลงทุนต่างชาติจะ Rollover จากซีรี่ย์ M ไปซีรีย์ U แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า กองทุน และผู้ลงทุนรายย่อยมีโอกาสกลับมาร่วมกันซื้อสุทธิก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่รายย่อยพอจะสู้หรือทำได้ คือ หาประโยชน์จาก Position การ Net Short ของนักลงทุนต่างชาติแสนล้านตรงนี้ ด้วยกลยุทธ์เล่นเก็งกำไรแบบ Calendar Spread คือ ถ้ามองว่าค่า Spread จะมีค่าสูงขึ้นให้ Long Spread ถ้ามองว่าค่า Spread จะมีค่าลดลงให้ Short Spread เนื่องจากเรารู้กรอบต่ำสุดของเขาแล้วว่าอยู่ในช่วงเดือน ก.ค.- ส.ค. โดยนักลงทุนต่างชาติก็จะ Rollover Short ไปยัง ซีรี่ย์ถัดไป
“Calendar Spread” เล่นไม่ยาก มีเพียง 2 Position ให้เลือกเปิดสถานะ นั่นก็คือ “Long หรือ Short” สัญญา Futures ต่างซีรี่ย์กัน โดยให้มองซีรีย์ไกลเป็นหลัก เช่น ถ้าเรามองว่า ค่า Spread จะมีค่าเพิ่มขึ้น เราก็จะ Long ซีรีย์ U สัญญาไกล (สัญญาหมดอายุเดือนกันยายน) ขณะเดียวกัน เราก็จะ Short ซีรี่ย์ M สัญญาใกล้ (สัญญาหมดอายุเดือนมิถุนายน) ซึ่งกลยุทธ์ลักษณะนี้เราเรียกกันว่า Long Spread
นอกจากนั้น จากข้อมูลการซื้อขายของต่างชาติ ซึ่งปัจุบันเป็นการขายสุทธิ (Net Short) SET50 Index Futures ในซีรีย์ M ดังนั้น เมื่อใกล้วันหมดอายุ หากเกิดการ Rollover สถานะ จากซีรีย์ M ไปซีรีย์ U ก็ทำได้โดยการ Short Spread คือ การ Long ซีรีย์ M (ปิดสัญญา) และเปิด Short ซีรีย์ U ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ค่า Spread ต่ำ และจะทำในกรณีที่อยากถือฝั่ง Short ต่อ โดยมักจะเกิดช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนสัญญาหมดอายุ
ทั้งนี้กลยุทธ์การซื้อขาย Spread เป็นกลยุทธ์ที่ไม่มีความซับซ้อน และเป็นกลยุทธ์ที่ผู้ลงทุนสามารถทำกำไรได้จริง อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ลองทำความเข้าใจ แล้วค่อยไปเทรดจริง เพราะหากเราไม่เข้าใจ และนำไปใช้ผิดหรือเข้าผิดเกมจะทำให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกัน