รัสเซียลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงเกือบครึ่งหนึ่งในเดือนเมษายนจากการที่สหรัฐได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดต่อบริษัทและชาวรัสเซีย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น Danske Bank A/S อ้างว่ามาจาก "ความขัดแย้งทางการเมือง" ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ที่สำคัญรัสเซียแทนที่ด้วยการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง
Vladimir Miklashevsky นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Danske Bank ของรัสเซียกล่าวว่า บางคนมองว่าธนาคารกลางรัสเซียอาจขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อหนุนค่าเงินรูเบิลในเดือนเมษายน นี่อาจไม่ได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนการจัดสรรเงินทุนสำรองเนื่องจากทุนสำรองยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่เนื่องจากการปรับตัวสูงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในช่วงที่ผ่านมาได้กระตุ้นให้เกิดแรงขาย
รัสเซียขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 4.74 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นปริมาณการขายที่มากกว่าประเทศผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่รายอื่น ๆ ถึงแม้ว่าปริมาณเงินทุนสำรองของรัสเซียจะเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม ทำให้มูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่รัสเซียที่อยู่เหลือเพียง 4.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐโดยลดลงจากมูลค่าสูงสุดในปี 2010 ซึ่งอยู่ที่ระดับมากกว่า 1.76 แสนล้านดอลลาร์
ในทางกลับกัน ธนาคารกลางรัสเซียยังคงเพิ่มการสะสมทองคำ ทำให้สัดส่วนการสำรองทองคำแท่งในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศขึ้นมาแตะระดับสูงที่สุดในรอบ 18 ปีของการครองอำนาจของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ธนาคารกลางรัสเซียเปิดเผยเมื่อวันพุธว่า การถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 1% ในเดือนพฤษภาคมสู่ระดับ 62 ล้านออนซ์คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.05 หมื่นล้านดอลลาร์
โดย Elvira Nabiullina ผู้ว่าธนาคารกลาง กล่าวว่า การซื้อทองจำจะช่วยกระจายเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จากความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้รัสเซียไม่โฟกัสเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนมากนัก เพราะในปีนี้หากเปรียบเทียบกันจะพบว่าทองคำ underperformed พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยทองคำปรับตัวลดลงมากกว่า 2% จากแนวโน้มต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นทำให้ทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยถูกลดความน่าสนใจลง
ในขณะเดียวกันราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง 1.4% หลังจากนักลงทุนในพันธบัตรได้รับผลตอบแทนที่ดีตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาขนาดของการถือครองพันธบัตรรัฐบาลของรัสเซีย การขายที่เกิดขึ้นแทบจะไม่ส่งผลต่อตลาดพันธบัตรซึ่งมีมูลค่า 14.9 ล้านล้านดอลลาร์ แต่คำถามที่ใหญ่กว่า คือ จีนซึ่งถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐถึง 1.18 ล้านล้านดอลลาร์จะทำตามแบบเดียวกันกับเพื่อนบ้านอย่างรัสเซียหรือไม่? ซึ่งจีนสามารถทำเช่นเดียวกันได้หากสงครามการค้าส่งผลเลวร้ายมากเกินไป โดย Miklashevsky กล่าวว่า เครื่องมือดังกล่าวเคยถูกนำมาใช้ก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่การเปลี่ยนแปลงในรัสเซียเป็นเรื่องเกี่ยวกับเก็บรักษาเงินให้ปลอดภัยจากการคว่ำบาตรเพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น
ในเดือนเมษายน จีนยังคงเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุดในโลก แม้จีนจะลดการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นสัญญาณการลดการถือครองที่ไม่มากนักท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในเดือนเมษายนจีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทั้งในรูปแบบของ Bonds(อายุ 10 ปีขึ้นไป), Bills(อายุน้อยกว่า 1 ปี), Notes(อายุ 1-10 ปี) ลดลง 5.8 พันล้านดอลลาร์สู่ระดับ 1.18 ล้านล้านดอลลาร์ อ้างอิงจากข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐ
สำหรับผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอันดับที่ 2 ของโลกอย่างญี่ปุ่น มีการลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในเดือนเม.ย.ลง 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์สู่ระดับ 1.03 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2011 ทำให้ยอดถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐโดยต่างชาติลดลงเหลือ 6.17 ล้านล้านดอลลาร์ ในเดือนมี.ค.นักลงทุนเคยหวั่นวิตกว่าจีนจะลดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อตอบโต้ต่อมาตรการการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน แต่จีนแสดงให้เห็นในช่วงที่ผ่านมาแล้วว่า ไม่ต้องการที่จะทำลายตลาดการเงินจากประเด็นข้อพิพาททางการค้า โดยจีนเลือกที่จะประกาศภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐเพื่อตอบโต้มาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่เตรียมจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในเดือนหน้าลงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ Zach Pandl หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ FX ของ Goldman Sachs กล่าวว่า จนถึงตอนนี้เรายังไม่เห็นหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าจีนจะใช้พันธบัตรสหรัฐเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้า
อย่างไรก็ตาม สหรัฐจำเป็นต้องหาผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ นับตั้งแต่เฟดยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรในเดือนตุลาคมปี 2016 หลังจากที่เฟดถือครองพันธบัตรมากกว่า 4.2 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนี้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอีกหลายปีข้างหน้าและจะเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2020 ตามประมาณการจาก Congressional Budget Office ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องออกพันธบัตรเป็นจำนวนมากเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เพียงแค่ในปีนี้รัฐบาลสหรัฐได้ทำการออกพันธบัตรจำนวน 4.437 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งเพิ่มขึ้น 9 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 139% จากช่วงเดียวกันของปี 2016
ดังนั้นนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อประเทศต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อเรื่องนี้ในอนาคต โดยเฉพาะกับจีนซึ่งเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุดในโลกจึงต้องติดตามอย่างต่อเนื่องว่าจีนจะใช้เรื่องนี้เพื่อเป็นการงัดข้อกับสหรัฐหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจะถือเป็นประเด้นใหญ่ที่อาจส่งผลต่อตลาดการเงินทั่วโลกรวมถึงทองคำ
ที่มา : Bloomberg และ CNBC
วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล