“กอบศักดิ์” คาดเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4.0-4.5 ปัจจัยบวกส่งออก-ท่องเที่ยว-เศรษฐกิจโลกฟื้น
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ “โอกาสและความเสี่ยงปี 61” ระหว่างร่วมงานสัมนา “โอกาสทองของการลงทุน” จัดโดยเว็บไซต์ Hoonsmat.com โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4-4.5 อย่างแน่นอน เพราะปัจจัยบวกหลายด้านสนับสนุน ทั้งการส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง การท่องเที่ยงเติบโตสูง เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ทั้งราคาน้ำมันขยับจาก 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 60-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งจะดึงให้ราคายางพารา ปาล์มน้ำมันขยับขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมานาน จากนั้น จะเริ่มขยับขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า ทั้งราคาข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ทำให้เกษตรรายย่อยมีกำลังซื้อเพิ่ม เพราะเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐฯ, ยุโรป, จีน, ญี่ปุ่น และอินเดีย เศรษฐกิจฟื้นตัว
รวมทั้งการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ของรัฐบาล ภาคอุตสาหกรรมกำลังปรับตัวครั้งสำคัญ ขยายการลงทุนตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟทางคู่, รถไฟความเร็วสูงเชื่อมไปต่างจังหวัด, ท่าเรือน้ำลึก, สนามบินอู่ตะเภา, รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน และการพัฒนาเมืองตามแนวชายแดน ให้สอดคล้องกับมอเตอร์เวย์จากกรุงเทพฯ รัฐบาลจะเร่งอนุมัติแผนการลงทุนจำนวนมากสิ้นปีนี้ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะมีอีกหลายโครงการเกิดขึ้นในภาคตะวันออก การเดิหน้านโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนโครงการขนาดใหญ่ของเอกชน ทั้งซูเปอร์ทาวเวอร์ หอชมเมือง พื้นที่มักกะสัน และอีกหลายโครงการของภาคเอกชนในกรุงเทพฯ โครงการเหล่านี้จะทำให้กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัจจัยบวกเหล่านี้จึงสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนไทย และต่างประเทศ และโอกาสการเติบโตของกลุ่มอินโดจีน จะเป็นแหล่งเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่เป็นเขตพัฒนาก้าวหน้าเติบโตแห่งใหม่ของโลกในช่วง 15 ปีข้างหน้า ทำให้จีดีพีของไทยขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4-5 ในช่วงการปฏิรูปประเทศ
นายกอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยง ยอมรับว่าการเมืองในประเทศเริ่มเข้มข้นมากขึ้นรองรับการเตรียมการเลือกตั้ง แต่ปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงทำให้นักลงทุนสบายใจ ความรุนแรงในซีเรีย จากสหรัฐฯ และพันธมิตร อยู่ในวงจำกัดไม่กระทบตลาดหุ้นทั่วโลก เกาหลีเหนือ ยอมยุติความรุนแรงกับสหรัฐฯ และสหรัฐฯ เริ่มกลับมาสนใจกลุ่ม TPP การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มองว่ายังต้องขยับเพิ่มดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้ ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่า จะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะเติบโตสูงต่อเนื่อง มีหุ้นจดทะเบียนใหม่ 40 รายต่อปี มีนักลงทุนรายย่อยลงทะเบียนซื้อหุ้นรายบุคคลนับล้านคน และสัดส่วนร้อยละ 70 เริ่มสนใจเทรดหุ้นผ่านออนไลน์ด้วยตนเอง นับว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสูงในตลาดหุ้นไทย
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชียพลัส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การออกไปลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศมีความสำคัญ เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนตนเอง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีนั้นสำคัญมากในการลงทุนยุคใหม่ ยอมรับว่าหุ้นอาลีบาบา จดทะเบียนในตลาดต่างประเทศเพียงตัวเดียวมูลค่า 15 ล้านล้านบาท เท่ากับตลาดหุ้นไทยทั้งประเทศ นับว่าแจ็คหม่า ใช้เวลาเปลี่ยนแปลงได้อย่างอัศจรรย์ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นในหลายประเทศ ทุกคนจึงต้องปรับตัวทั้งการลงทุน และการให้บริการ
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ทาลิส จำกัด กล่าวว่า ระยะสั้นจีดีพีไทยขยายตัวมากกว่าร้อยละ 4 ส่วนการเติบโตระยะยาวช่วง 12 ปีข้างหน้า จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยขณะนี้ได้คำนวณขนาดจีดีพีของประเทศประมาณ 30 ล้านล้านบาท ขนาดของตลาดหุ้นไทยจะมีมูลค่า 42 ล้านล้านบาท หรือมีขนาดร้อยละ 160 ของจีดีพี กำไรของตลาดหุ้นเพิ่มจาก 1 ล้านล้านบาท เป็น 3 ล้านล้านบาท ดัชนีหุ้นไทย 4,181 จุด วงจรวิกฤตเศรษฐกิจจะไม่รุนแรง เหมือนกับวงจรเศรษฐกิจในอดีต การลงทุนแบบกระจายสินทรัพย์เป็นสิ่งสำคัญ หากศึกษาอย่างจริงจัง อาจให้น้ำหนักลงทุนไทยลดลงเมื่อเศรษฐกิจมีปัญหา แต่เมื่อเศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัว ก็กลับมาให้น้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อจีดีพีไทยสูงจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ยอมรับว่า จีดีพีขยายตัวจากร้อยละ 4 เพิ่มเป็นร้อยละ 6 มีโอกาสเป็นไปได้ เศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว แต่จะไม่หวือหวาเหมือนยุค พล.อ. ชาติชาย ความผันผวนตลาดหุ้นยังสูงบ้าง จึงต้องระมัดระวัง