ประธานสมาคมไทย เผยขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณการควบรวมกันของธนาคารพาณิชย์ ระบุวัตถุประสงค์มาตรการต้องการให้ธนาคารมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเข้ามา ขณะที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ชี้มาตรการดังกล่าวส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของอุตสาหกรรมธนาคาร โดยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศน่าจะครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงขึ้นจากควบรวม
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทยในฐานะประธานสมาคมไทย กล่าวว่า มาตรการด้านภาษีที่สนับสนุนให้ธนาคารไทยควบรวมกิจการกันนั้น จะช่วยให้โครงสร้างของระบบมีความแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเกิดปัญหาจะได้ยืนหยัดอยู่ได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับธนาคารไหน ในระยะเวลาใดนั้น ไม่มีการบังคับ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละแห่ง ซึ่ง ณ ขณะนี้ธนาคารยังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ที่จะมีการควบรวมกันของธนาคารพาณิชย์ แต่วัตถุประสงค์ของมาตรการที่เกิดขึ้นก็เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงรอบด้านที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และหากธนาคารพาณิชย์มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นก็น่าจะมีความได้เปรียบกว่า
“มันไม่ได้มีสูตรตายตัวเวลาจะควบรวมว่า ต้องเล็กกับใหญ่ หรือใหญ่กับใหญ่ เล็กกับเล็ก เท่าที่เห็นมาธนาคารขนาดเล็กก็พิสูจน์ตัวเองให้สามารถอยู่รอดมาได้ท่ามกลางวิกฤตก็มี คือ ไม่ใช่เรื่องที่จะว่าธนาคารนั้นเล็กเกินไป แต่ว่าอยากจะใหญ่กว่านี้หรือเปล่า เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงรอบ ๆ ตัวเราเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น และหากเรามีขนาดที่ใหญ่ก็น่าจะได้เปรียบกว่า”
ฟิทช์ ชี้มาตรการหนุนควบรวมส่งผลต่อแบงก์ไทย
ฟิทช์ เรทติ้งส์ มองว่า มาตรการจูงใจด้านภาษีที่สนับสนุนให้ธนาคารไทยควบรวมกิจการ อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อสภาวะอุตสาหกรรมธนาคาร โดยธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศเพียง 1 หรือ 2 ราย อาจครองส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมโดยรวม แต่ทั้งนี้ธนาคารชั้นนำขนาดใหญ่ในประเทศไทยน่าจะมีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้นในการรับมือกับการแข่งขันจากธนาคารต่างชาติ ซึ่งการแข่งขันน่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต ตามความคืบหน้าของแนวทางการรวมตัวภาคการธนาคารอาเซียน (ASEAN Banking Integration Framework หรือ ABIF)
ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาทวิภาคีกับประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศพม่า ภายใต้กรอบการรวมตัวภาคการธนาคารอาเซียน ซึ่งจะช่วยลดข้อจำกัดด้านการขอใบอนุญาติในการประกอบกิจการธนาคารระหว่างประเทศ และสร้างโอกาสในการขยายกิจการสำหรับธนาคารที่มีความแข็งแกร่ง ตามกรอบการรวมตัวภาคการธนาคารอาเซียนดังกล่าว ธนาคารที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ธนาคารอาเซียน (Qualified ASEAN Banks) จะได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการได้อย่างอิสระมากขึ้นในอาเซียน อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาและการดำเนินตามนโนบายดังกล่าว น่าจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอาจขึ้นอยู่กับบรรยากาศทางการเมือง
ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่มีเครือข่ายธุรกิจและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์และแหล่งรายได้จากธุรกิจที่มีความหลากหลาย และมีศักยภาพในการทำกำไรตลอดวัฏจักรธุรกิจ (business cycle) ที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กในประเทศ สะท้อนได้จากอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในระดับสูงกว่า อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ยังคงมีขนาดสินทรัพย์ที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารของประเทศสิงคโปร์ 3 แห่ง และธนาคารขนาดใหญ่ของประเทศมาเลเซีย 2 แห่ง ขณะที่มีขนาดสินทรัพย์ของธนาคารขนาดใหญ่ไทยเทียบเคียงได้กับธนาคารขนาดใหญ่ของประเทศอินโดนีเซีย โอกาสในการเติบโตจากการขยายกิจการจากการดำเนินงานตามปกตินับว่าค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจในช่วงปีที่ผ่านมา โดยภาคธนาคารไทยมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อเพียง 2.4% ในปี 2559 และ 4.6% ในปี 2560 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อมีสัญญาณว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2561
รัฐบาลไทยได้ชี้แจงถึงมาตรการจูงใจด้านภาษีใหม่ดังกล่าวว่ามีเป้าหมายเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศมีขนาดใหญ่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ ฟิทช์ มองว่า นโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่เอื้ออำนวย และช่วยสนับสนุนธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ ซึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางของนโยบายหลังจากที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้ธนาคารต่างประเทศเข้ามาซื้อกิจการธนาคารในประเทศหลายแห่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยรายล่าสุด คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งถูกซื้อกิจการโดยธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิยูเอฟเจ (Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ)
ทั้งนี้ ธนาคารขนาดใหญ่น่าจะได้รับประโยชน์จากการมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น (economies of scale) และมีความสามารถมากขึ้นในการให้บริการแก่ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากธนาคารจะสามารถให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายใหญ่ได้ในระดับที่สูงขึ้นตามเกณฑ์การกํากับลูกหนี้รายใหญ่ (large exposure limits) การที่ธนาคารในประเทศมีขนาดใหญ่ขึ้นอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ และการเงินในกรณีที่ธนาคารไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการประกาศกรอบการกำกับดูแลกิจการที่เข้มงวดขึ้น และกำหนดเกณฑ์เงินทุนขั้นต่ำที่สูงขึ้น สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ (หรือ D-SIB) เมื่อเดือนกันยายน 2560 ซึ่งเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นในการดำเนินการตามหลักเกณฑ์สากลในการกำกับดูแลสถาบันการเงินตามเกณฑ์ Basel III ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ที่สุด 5 ราย ได้รับการประกาศสถานะเป็น D-SIB และทุกรายมีอัตราส่วนเงินกองทุนที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำใหม่ที่จะทะยอยเพิ่มขึ้นจนถึงปี 2563 อยู่ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม เกณฑ์อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำของ D-SIB ในประเทศไทย ยังต่ำกว่าเกณฑ์ของประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้