xs
xsm
sm
md
lg

Black & White สงครามบนกระดานเทรด "Crypto"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณัฐพล พรชัยประติมา ผู้ร่วมก่อตั้ง CoinAsset
อาจกล่าวได้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสเงินดิจิตอล หรือ Cryptocurrency เข้ามีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะในการซื้อขายแลกเปลี่ยน การระดมทุน หรือแม้แต่กระทั่งการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ ที่เริ่มกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก และเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากไม่มีกำแพงปิดตลาดอย่าง Circuit Breaker และจำกัดด้วยกรอบเวลาหรือหน่วยงานรัฐเข้ามาควบคุม

แต่กระนั้นถึงแม้ว่า Cryptocurrency จะได้รับความนิยมจากนักลงทุนใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ในทางกลับกันมูลค่าโดยรวมของตลาดเงินดิจิทัลในปี 2561 คาดว่าจะตกลงกว่า 60% ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะรู้สึกย้อนแย้งว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ขณะที่ในส่วนของความนิยมเทคโนโลยี Blockchain, และ Cryptocurrency ตลอดจนการระดมทุนออก ICO กลับเป็นที่พูดถึงและมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน แม้แต่ตัว Bitcoin เอง ก็ยังมีนักวิเคราะห์หลากหลายสถาบันออกมาแสดงความเห็นว่า “ราคาของ BitCoin จะยังขึ้นไปต่อในระยะยาว”

และหนึ่งในธุรกิจที่แกนสำคัญในวงการคือธุรกิจ Cryptocurrency Exchange : (กระดานซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล) ซึ่ง ปัจจุบันมูลค่าการเทรดสกุลเงินดิจิทัล บนตลาด Exchange

อันดับ 1 คือ Bitcoin มูลค่าอยู่ที่ประมาณ 116,000 ล้านดอลลาร์

อันดับ 2 คือ Ethereum มูลค่าอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์

อันดับ 3 คือ Ripple มูลค่าอยู่ที่ประมาณ  20,000 ล้านดอลลาร์

และ ยังมีสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ประมาณ 1,563 สกุลเหรียญซึ่งมีทยอยเกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งรูปแบบของกระดาน Cryptocurrency Exchange นี้ มีลักษณะคล้าย ตลาดเก็งกำไรซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (ฟอเร็กซ์) หรือตลาดหุ้น ที่จะอนุญาติให้ผู้ใช้ มาเปิดออเดอร์ซื้อ-ขาย ได้ในราคาที่แต่ละฝ่ายต้องการ โดยการแลกเปลี่ยนนั้จะเป็นรูปแบบบุคคลต่อบุคคล

“แต่สิ่งที่แตกต่างจากตลาดฟอเร็กซ์และตลาดหุ้นคือ ตลาด Exchange นี้ไม่มีเวลาเปิดปิด สามารถซื้อ - ขายได้ 24 ชั่วโมง และไม่มีกำแพงปิดตลาดอย่าง Circuit Breaker ทำให้การขึ้นและลงของราคา Bitcoin อยู่ที่ 5-10% ต่อวันเป็นเรื่องที่ปกติมากสำหรับตลาดเงินดิจิทัล”

สำหรับขั้นตอนในการใช้งาน Exchange นั้นผู้ใช้งานต้อง ผ่านการยืนยันตัวตน KYC (Know-Your-Customer) และ AML (Anti-Money-Lundering) ฝากเงินผ่านบัญชีธนาคารเข้าไปยังบัญชีของ Exchange ระบบจะแสดงยอดเงินให้แก่ผู้ใช้ จากนั้นผู้ใช้จึงสามารถ ตั้งคำสั่งซื้อ-ขาย เงินดิจิทัลต่างๆได้

โดยเงินดิจิทัลที่ผู้ใช้ซื้อมานั้นจะเก็บอยู่ในกระเป๋า (Wallet) ของเว็บไซต์ ผู้ใช้สามารถโอนเงินดิจิทัลไปยังกระเป๋าหรือ Exchange อื่น ๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่ Exchange จะเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายในการซื้อ - ขายครั้งละ 0.15 - 0.25% จากผู้ใช้งาน

“อันดับเว็บไซต์ที่มีปริมาณการซื้อ - ขายของโลก (หมวด Cryptocurrency exchange) อันดับที่ 1 ได้แก่ Binance กระดานสัญชาติจีน ที่มีวอลุ่มการซื้อขายสูงถึง 1,263 ล้านดอลลาร์ อันดับที่ 2 คือ Houbi กระดานสัญชาติจีนเช่นกันซึ่งมีปริมาณการซื้อขายมากกว่า 820 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยังมีธุรกิจ Exchange อยู่อีกหลายประเทศเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย และ อเมริกา ซึ่งในบางประเทศเป็นการซื้อขายกันในลักษณะใต้ดิน คือไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล ซึ่งหากเกิดความเสียหายขึ้นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จะไม่ได้รับการคุ้มครองช่วยเหลือ เนื่องจากอยู่นอกเหนือกฏหมาย หรือข้อกำหนดว่าด้วย พ.ร.บ.หลักทรัพย์และการค้าหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สูง และนักลงทุนจะต้องแบกรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง และหากเลวร้ายกว่านั้นอาจถูกดำเนินคดีอีกด้วย”

ส่วนในประเทศไทยนั้นจะมีตลาดซื้อ - ขาย Cryptocurrency ในหลายกระดานเช่น Bx ,Tdax ,Jibex เเละ Cash2coin จากแหล่งข่าวยังมี CoinAsset ที่กำลังเปิดตัวในไตรมาส 2 ในปี 2561 อีกด้วย

ทั้งนี้แม้ยอดเทรด ในประเทศไทย ยังกินส่วนแบ่งทางการตลาดได้ไม่ถึง 0.5% ของตลาดโลก แต่ก็หมายถึง ช่องว่างให้ประเทศไทยได้เติบโต ในธุรกิจเทคโนโลยีนี้ได้อีก และมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนประเภทนี้ไปยังประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม AEC ที่มีความต้องการระดมทุนในประเภทนี้เพื่อใช้ในการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมต่างๆของประเทศอีกเป็นจำนวนมาก

ซึ่งธุรกิจ Exchange ก็จะเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากขึ้นไป ตามกระแสของจำนวน Cryptocurrency ที่มากขึ้นทุกวัน ซึ่งธุรกิจที่ระดมทุนผ่าน ICO ก็จำเป็น และ ต้องการ Exchange ที่มีคุณภาพ มีมาตรฐาน ความปลอดภัย และดูแลเข้าถึง ผู้ใช้บริการ

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย ในปี 2561นี้ ถือว่ามีส่วนเกาะกระแสดิจิทัลกับตลาดโลกเช่นกัน สังเกตจากการจ้างงานในธุรกิจใหม่ ๆ เช่น Mining เหมืองขุดบิทคอยน์, ICO ,Cybersecurity ,Blockchain Technology และ Affliate marketing ซึ่งนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของ วิสัยทัศยุทธศาสตร์ ตามนโยบายพัฒนาประเทศ Thailand 4.0
 
แต่กระนั้นแม้ว่าตลาด Cryptocurrency exchange จะน่าสนใจ แต่ความท้าทายของธุรกิจนี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน นอกจากรูปแบบการซื้อขายแลกเปลี่ยน ต้องง่ายต่อการเข้าถึง และลงทุน การบริการต้องสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดีแล้วแล้ว และระบบการเก็บข้อมูลยังต้องมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย

“ ในขณะนี้ที่ธุรกรรมทางการเงินแทบทุกอย่างผ่านทางไซเบอร์เน็ตเวอร์ค ต้องยอมรับว่า หน่วยงานผู้ให้บริการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างกำแพง หรือ เกราะ ขึ้นมาหลายชั้น เพื่อคุ้มกันการถูกเจาะขโมยข้อมูล ซึ่งอาจมีค่ามหาศาล โดยกำแพงป้องกันข้อมูลอาจจะมีเป็น 10 ชั้น ที่ออกแบบมาจากบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์หลายๆแห่ง เพื่อไม่ให้ระบบข้อมูลมีการรั่วไหล และอัลกอริทึมที่แตกต่างกัน มีทั้งแบบที่ล่อลวงให้เข้าไปติดกับ และดักจับ หรือแบบที่สร้างกำแพงหนาแน่นเมื่อถูกเจาะข้อมูล ก็จะยกระดับการป้องกันอัตโนมัติขึ้นทันที หรือร้ายแรงที่สุดคือปิดระบบฉุกเฉินเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูล แต่คงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะรูปแบบกำแพงข้อมูลที่มีมากกว่า 10 ชั้น และทำงานป้องกันแยกกันอย่างเสรีในระบบปิดจากบริษัทต่างๆกัน ทำให้โอกาสที่จะถูกเจาะขโมยข้อมูลธุรกรรมดิจิทัลมันนี่ มีน้อยมากๆ แม้ Blockchain จะเป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัย แต่ธุรกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนก็ต้องเตรียมรับมือกับ ภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วย เพราะ Hacker ไม่สามารถ Hack Blockchain ได้เพราะกระจายการเก็บรหัสข้อมูลออกไปนับหมื่นนับล้านเครื่อง แต่เค้าเจาะกระเป๋าเงินธุรกิจ ( Wallet ) ของคุณ หรือบัญชีเก็บเหรียญคอยน์ของคุณนั่นเอง ซึ่งถ้าหากแบรนด์ผู้ให้บริการรับฝากรายไหนที่ให้คุณค่าด้านระบบการรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่นรัดกุมที่สุด ก็จะได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งาน และส่งผลให้ผู้ให้บริการรับฝาก digital key Wallet เติบโตในระยะยาวต่อไปได้ครับ ” ณัฐพล พรชัยประติมา Co-Founder CoinAsset www.coinasset.co.th กล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น