หลายๆคนคงทราบ หรือ รู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว กับการขุดเหรียญ Bitcoin คือ การใช้เครื่อง Asic Miner เข้ามาช่วยขุด วิธีนี้นับว่าเป็นการขุดที่ให้ความคุ้มค่า แต่มีราคาสูง และเป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำขึ้นเพื่อสำหรับการขุด Bitcoin เท่านั้น ดังนั้นข้อเสียของมัน คือ ไม่สามารถทำงานในระบบคอมพิวเตอร์ในรูปแบบ แบบอื่นได้เลย ด้วยความที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเรื่อยๆ มนุษย์จึงได้คิดค้นเทคโนโลยี อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นการพัฒนาต่อจากแบบเดิม ตอบโจทย์ทุกการทำงาน และนิยมกันอย่างมากในขณะนี้ นั่นคือ การขุดแบบ Cloud Mining
Cloud Mining เป็นการเช่ากำลังขุดจากเหมืองขุดทั่วโลก โดยที่เราไม่ต้องลงแรงในการทำงาน เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์เพียง 1 เครื่อง และทำการลงทุนผ่านเว็บไซต์เท่านั้น ก็สามารถที่จะสร้างกำไรให้ได้มากมายเลยทีเดียว
ข้อดี คือ เราจะมีเวลามากขึ้น เนื่องจากไม่จำเป็นต้องไปนั่งเฝ้าหน้าจอคอม หรือเฝ้าดูการทำงาน เรียกได้ว่าเงินเข้า 24 ชั่วโมง โดยที่เราไม่ต้องลงแรงตลอดเวลา หรือแบบ Passive Income นั่นเอง อีกทั้งการลงทุนแบบ Cloud Mining นั้นคือผู้ลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องของเสียงรบกวนของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และแบบรับต้นทุนค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน ซึ่งอาจจะมากกว่าจำนวนเหรียญที่ขุดได้ และยังไม่รวมไปถึงค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์ที่มักเกิดปัญหาขึ้นเวลาใช้งานบ่อยครั้ง
(แตกต่างกับ Asic Miner ที่มีเสียงดัง) เพราะเครื่องประมวลผลนั้นถูกกระจายนำไปติดตั้งยังสถานที่ต่างๆ และอุปกรณ์ในการทำงานนั้นก็จะมีการอัพเดทซอร์ฟแวร์อยู่อย่างสม่ำเสมอ อาจจะกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ นอกเขตชุมชน ซึ่งเครื่องขุด Could Minding นั้นส่วนหนึ่งจะเป็นของผู้ลงทุนทำเหมืองขุด ที่ได้เปิดให้บริการขุดโดยผู้สนใจสามารถเช่าระบบประมวลผลหรือ Unit Performance ตามแพ็คเกจโปรโมชั่น ตามที่ผู้ให้บริการจะเสนอ และผลตอบแทนจากการขุดจะอยู่ที่ข้อตกลงระหว่างผู้ให้บริการกับผู้เช่า มีทั้งเป็นของผู้เช่าทั้งหมด หรือแบ่ง % ของจำนวนเหรียญที่ขุดได้
จากที่รู้กันไปแล้วว่า Cloud Mining คือ การอาศัยคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ทั่วโลกออนไลน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ในการประมวลผลถอดรหัสข้อมูล 24 หลักของ Bitcoin เพื่อให้ได้มาซึ่งเหรียญดิจิทัลซึ่งมีอยู่หลากหลายสกุล ทั้งแบบที่มีมูลค่าสูง เป็นที่นิยมของนักลงทุนขุดเหมือง และเหรียญที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งมีมูลค่ามากน้อยแตกต่างกันไป ตามจำนวนของเหรียญที่ออก และความยากง่ายของการถอดรหัสข้อมูล
อย่างไรก็ตามหากแบ่งเป็นประเภทของ Cloud Mining ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้มีทั้งหมด 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1.การขุดแบบเช่าเครื่อง โดยทางผู้ให้บริการจะดำเนินการผ่านโฮส
2.การขุดแบบใช้โฮสเสมือนจริง โดยการสร้างเซฟเวอร์ส่วนตัว และติดตั้งซอฟต์แวร์ระบบ หรือซอฟต์แวร์ประยุกต์การขุดด้วยตัวเอง
3. เช่าระบบเครือข่ายในการขุด โดยมีหน่วยที่คิดเป็น Hash โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องขุด
ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการ เช่าระบบเครือข่ายในการขุด ที่ดูแล้วจะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาล แต่การลงทุนแบบ Cloud Mining นั้นก็นับว่ามีความเสี่ยงอยู่ เนื่องจากบริษัทที่มีรากฐานที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ครั้งหนึ่งเคยมีบริษัทเปิดตัวขึ้นมาแบบหลอก ๆ และปิดตัวลงไป ทำให้ผู้ลงทุนจึงรู้สึกอคติต่อการลงทุนประเภทนี้ ดังนั้นการลงทุนที่ปลอดภัยคือการเลือกลงทุน กับบริษัทที่ไว้ใจได้ และลงทุนในที่เดียว ไม่ควรลงทุนแบบแพร่กระจาย
"อันตรายอย่างหนึ่งของระบบ Cloud Mining คือการแอบเจาะระบบของผู้ใช้งานออนไลน์ทั่วๆไปตามบ้าน หรือสำนักงานที่ไม่ได้มีการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างดีพอ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวทั้งในและต่างประเทศให้เห็นได้บ่อยๆ คือผู้ใช้ Cloud Mining จะใช้ซอฟต์แวร์โปรแกรมระบบหรือซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียนขึ้นมา ออกคำสั่งให้เครื่องของผู้ใช้ทั่วไป หรือตามสำนักงานออฟฟิสต่าง ๆ ขุดเหมืองให้แทน ซึ่งหากไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีก็จะไม่สามารถตรวจพบได้ง่าย ผู้ใช้งานเจ้าของเครื่องอาจจะตั้งข้อสังเกตุว่าจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่โดยปกติ แต่อยู่ๆทำงานช้าขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ซึ่งเครื่องที่ถูกคำสั่งให้ขุดเหมืองให้อาจมีมากตั้งแต่หลักร้อยเครื่องจนถึงหลักหมื่นเครื่อง"
สำหรับการตรวจสอบและเลือกลงทุนใน Cloud Mining ผ่านบริษัทผู้ให้บริการ โดยผู้ที่สนใจอยากลงทุน สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ที่มีการยืนยันการจดโดเมนเนมและได้รับอนุมัติยืนยันโดยหน่วยงานด้านธุรกรรมไอทีเชิงพาณิชย์ของรัฐ ซึ่งการเปิดให้บริการเช่าเครือข่ายประมวลผลขุด Bitcoin มีข้อดีคือได้เงินตรงเวลา (ปริมาณที่ขุดได้ขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของเหรียญตลอดจนถึง Unit Performance โปรโมชั่นที่เช่าจากผู้ให้บริการ) โดยมีระบบเชื่อมต่อตรวจสอบการขุดได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถเลือกประเภทของเหรียญที่ต้องการขุด ที่มีอยู่หลายสิบประเภทสกุลเหรียญ โดยถือว่าการทำงานแบบ Cloud Mining นั้นประสบผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ตอบโจทย์การทำงานแบบ Passive Income ได้เป็นอย่างดี
