ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ที่ปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืน โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และกูเกิล)
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เปิดวันนี้ที่ 21,415.85 จุด เพิ่มขึ้น 123.56 จุด, +0.58% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เปิดวันนี้ที่ 3,147.05 จุด เพิ่มขึ้น 10.42 จุด, +0.33% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เปิดวันนี้ที่ 30,244.22 จุด เพิ่มขึ้น 64.12 จุด, +0.21% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เปิดวันนี้ที่ 2,447.97 จุด เพิ่มขึ้น 5.54 จุด, +0.23% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เปิดวันนี้ที่ 3,420.85 จุด เพิ่มขึ้น 8.70 จุด, +0.25% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เปิดวันนี้ที่ 1,846.77 จุด ลดลง 4.01 จุด, -0.22% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เปิดวันนี้ที่ 8,084.93 จุด เพิ่มขึ้น 36.21 จุด, +0.45% ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันเด็ก
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขาย ขณะจับตาสถานการณ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลังจากที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้เปิดเผยรายการสินค้าของจีน ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า คิดเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายที่จะบีบให้จีนผ่อนปรนกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน
USTR ระบุว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% จำนวน 1,300 รายการ ตั้งแต่สินค้าอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น การแพทย์ การบิน และเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงสินค้าจำพวกเครื่องจักร และเคมีภัณฑ์ นอกจากนี้ มาตรการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวยังครอบคลุมถึงสินค้าผู้บริโภคอย่างเครื่องซักผ้า เครื่องกวาดหิมะ และมอเตอร์ไซค์
มาตรการดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที โดยบริษัทสหรัฐฯ จะมีเวลาจนถึงวันที่ 22 พ.ค. ในการแสดงความคิดเห็นเพื่อคัดค้านประเด็นดังกล่าว ซึ่งทาง USTR จะเริ่มเปิดการรับฟังความเห็นจากประชาชนในวันที่ 15 พ.ค. นี้
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เพื่อลงโทษจีนที่ได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐฯ พร้อมกับสั่งการให้ USTR เปิดเผยรายการสินค้าที่จะถูกเรียกเก็บภาษีภายใน 15 วัน และจะมีช่วงเวลา 30 วัน สำหรับการรับฟังความเห็นจากประชาชน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ จะเริ่มรายงานผลประกอบการในไตรมาสแรกในวันที่ 13 เม.ย.
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน มี.ค. จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือน มี.ค. จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือน มี.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), คำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน ก.พ., ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือน ก.พ., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มี.ค.