ธอส. เผยผลงานปล่อยสินเชื่อปล่อยใหม่ ณ 31 มี.ค. ทั้งสิ้น 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 76.14% ดันยอดสินเชื่อคงค้างแตะระดับ 1.04 ล้านล้านบาท หนือเพิ่มขึ้นอีก 2% พร้อมเปิดตัว “เงินฝาก ธอส.ประชารัฐ” ดอกเบี้ยสูงสุดปีละ 1.65% ต่อปี เตรียมเดินหน้ายกระดับการให้บริการยุค 4.0 ตามแผน Digital Transformation ใน 3 เฟส
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 ว่า ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้นกว่า 50,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 76.14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดสินเชื่อคงค้างรวม 1.04 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% กำไรสุทธิประมาณ 3,100 ล้านบาท สาเหตุสำคัญที่ทำให้สินเชื่อปล่อยใหม่ของธนาคารขยายตัวได้ คือ ธนาคารได้ออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำที่รองรับลูกค้าทุกกลุ่มอาชีพ/รายได้
ด้านเงินฝากธนาคารจัดทำผลิตภัณฑ์ เงินฝาก ธอส. ประชารัฐ สำหรับลูกค้าที่ผ่านโครงการพัฒนาความรู้ทางการเงินสำหรับผู้มีรายได้น้อย (Financial Literacy) เป็นเงินฝากออมทรัพย์อัตราดอกเบี้ย 1.65% ต่อปี สำหรับวงเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 3 แสนบาท ส่วนลูกค้าที่มีวงเงินฝากคงเหลือมากกว่า 3 แสนบาท รับอัตราดอกเบี้ย 0.90% ต่อปี เปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ำ 100 บาท ลูกค้าที่ฝากต่อเนื่องทุกเดือนนาน 6 เดือนติดต่อกัน และไม่มีการถอนเงิน จะได้รับของสมนาคุณจาก ธอส. ฟรี!! เปิดบัญชีภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ทั้งนี้ ธนาคารจะนำ Mobile Deposit หรือเครื่องฝากเงินแบบมือถือมาให้บริการ เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า
พนักงานธนาคารจะนำ Mobile Deposit ให้บริการสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการตามชุมชนต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ทางการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวก และส่งเสริมการออม ซึ่งผู้ฝากจะได้รับสลิปเก็บไว้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมเช่นเดียวกับการไปฝากที่สาขาของธนาคารเช่นกัน ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการพัฒนาความรู้ทางการเงินฯ สามารถติดต่อได้ที่สาขา ธอส. ทั่วประเทศ
ส่วนแนวทางการดำเนินงานของ ธอส. ในปีนี้ ธนาคารยังคงเดินหน้าคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อทำให้คนไทยมีบ้าน พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้คนไทย ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้ Big Data และในปี 2561 ธนาคารกำหนดให้เป็นปีแห่งการก้าวเข้าสู่ Digital Services อย่างเต็มรูปแบบ ตามแผน Digital Transformation ยกระดับการให้บริการเริ่มจากโครงการ Payment Gateway ซึ่งถือเป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาช่องทางการชำระหนี้เงินกู้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าประชาชนในยุค 4.0 ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2560 แบ่งเป็น 3 เฟส
ประกอบด้วย เฟส 1 Cash Payment เครื่องชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ (LRM) จำนวน 80 เครื่อง ซึ่งจะทยอยติดตั้งที่สาขาทั่วประเทศ สาขาละ 1 เครื่อง ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2561 จากเดิมที่ติดตั้งไปแล้วเมื่อปี 2560 จำนวน 90 เครื่อง ซึ่งภายในไตรมาส 2 ของปี 2561 สาขาของ ธอส. กว่า 170 แห่ง ที่มีจำนวนของผู้ใช้บริการ และมียอดธุรกรรมสูงจะมีเครื่อง LRM ให้บริการชำระหนี้แก่ลูกค้าเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการในช่วงสิ้นเดือนได้มากยิ่งขึ้น
เฟส 2 Dynamic QR Code อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถชำระหนี้เงินกู้ ธอส. ได้สะดวกรวดเร็ว โดยใช้ Mobile Application ของธนาคารใด ๆ ก็ได้ เพียงระบุเลขที่บัญชีเงินกู้ และเลือกบัญชีและจำนวนเงินที่ต้องการชำระ หลังจากนั้น ระบบจะสร้าง QR Code ของลูกค้ารายนั้น ๆ ลูกค้าเพียงแค่เปิด Mobile Application ของธนาคารใด ๆ ก็ได้มาสแกน QR Code ดังกล่าว ก็จะสามารถชำระหนี้เงินกู้ได้ทันทีเช่นเดียวกับการชำระหนี้ที่สาขาของธนาคาร โดยคาดว่าจะเริ่มนำ Dynamic QR Code มาให้บริการลูกค้าตามจุดต่าง ๆ ได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
เฟส 3 โครงการGHB Mobile Application เป็น Application ของ ธอส. ที่จะให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร ทั้งการชำระหนี้เงินกู้ สินเชื่อ และเงินฝาก โดยคาดว่าจะเริ่มนำออกให้บริการในระยะแรก คือ การชำระหนี้เงินกู้ได้ประมาณกรกฎาคม 2561 ซึ่ง GHB Mobile Application เมื่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์ จะสามารถให้บริการได้ ทั้งการชำระหนี้เงินกู้ สอบถามผลการพิจารณาสินเชื่อ แจ้งผลการอนุมัติสินเชื่อ นัดทำนิติกรรม ดูใบเสร็จรับชำระหนี้อิเล็กทรอนิกส์ ติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อ และแจ้งเตือนชำระหนี้ ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาได้เสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 4 ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายว่า ภายในสิ้นปี 2561 จำนวนธุรกรรมชำระหนี้เงินกู้ผ่านเครื่อง LRM Dynamic QR Code และ GHB Mobile Application จะไม่ต่ำกว่า 30% ของจำนวนที่มาชำระเงินกู้ที่สาขาธนาคาร
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 ว่า ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้นกว่า 50,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 76.14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดสินเชื่อคงค้างรวม 1.04 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% กำไรสุทธิประมาณ 3,100 ล้านบาท สาเหตุสำคัญที่ทำให้สินเชื่อปล่อยใหม่ของธนาคารขยายตัวได้ คือ ธนาคารได้ออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำที่รองรับลูกค้าทุกกลุ่มอาชีพ/รายได้
ด้านเงินฝากธนาคารจัดทำผลิตภัณฑ์ เงินฝาก ธอส. ประชารัฐ สำหรับลูกค้าที่ผ่านโครงการพัฒนาความรู้ทางการเงินสำหรับผู้มีรายได้น้อย (Financial Literacy) เป็นเงินฝากออมทรัพย์อัตราดอกเบี้ย 1.65% ต่อปี สำหรับวงเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 3 แสนบาท ส่วนลูกค้าที่มีวงเงินฝากคงเหลือมากกว่า 3 แสนบาท รับอัตราดอกเบี้ย 0.90% ต่อปี เปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ำ 100 บาท ลูกค้าที่ฝากต่อเนื่องทุกเดือนนาน 6 เดือนติดต่อกัน และไม่มีการถอนเงิน จะได้รับของสมนาคุณจาก ธอส. ฟรี!! เปิดบัญชีภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ทั้งนี้ ธนาคารจะนำ Mobile Deposit หรือเครื่องฝากเงินแบบมือถือมาให้บริการ เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า
พนักงานธนาคารจะนำ Mobile Deposit ให้บริการสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการตามชุมชนต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ทางการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวก และส่งเสริมการออม ซึ่งผู้ฝากจะได้รับสลิปเก็บไว้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมเช่นเดียวกับการไปฝากที่สาขาของธนาคารเช่นกัน ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการพัฒนาความรู้ทางการเงินฯ สามารถติดต่อได้ที่สาขา ธอส. ทั่วประเทศ
ส่วนแนวทางการดำเนินงานของ ธอส. ในปีนี้ ธนาคารยังคงเดินหน้าคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อทำให้คนไทยมีบ้าน พร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้คนไทย ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้ Big Data และในปี 2561 ธนาคารกำหนดให้เป็นปีแห่งการก้าวเข้าสู่ Digital Services อย่างเต็มรูปแบบ ตามแผน Digital Transformation ยกระดับการให้บริการเริ่มจากโครงการ Payment Gateway ซึ่งถือเป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาช่องทางการชำระหนี้เงินกู้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าประชาชนในยุค 4.0 ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2560 แบ่งเป็น 3 เฟส
ประกอบด้วย เฟส 1 Cash Payment เครื่องชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ (LRM) จำนวน 80 เครื่อง ซึ่งจะทยอยติดตั้งที่สาขาทั่วประเทศ สาขาละ 1 เครื่อง ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2561 จากเดิมที่ติดตั้งไปแล้วเมื่อปี 2560 จำนวน 90 เครื่อง ซึ่งภายในไตรมาส 2 ของปี 2561 สาขาของ ธอส. กว่า 170 แห่ง ที่มีจำนวนของผู้ใช้บริการ และมียอดธุรกรรมสูงจะมีเครื่อง LRM ให้บริการชำระหนี้แก่ลูกค้าเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการในช่วงสิ้นเดือนได้มากยิ่งขึ้น
เฟส 2 Dynamic QR Code อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถชำระหนี้เงินกู้ ธอส. ได้สะดวกรวดเร็ว โดยใช้ Mobile Application ของธนาคารใด ๆ ก็ได้ เพียงระบุเลขที่บัญชีเงินกู้ และเลือกบัญชีและจำนวนเงินที่ต้องการชำระ หลังจากนั้น ระบบจะสร้าง QR Code ของลูกค้ารายนั้น ๆ ลูกค้าเพียงแค่เปิด Mobile Application ของธนาคารใด ๆ ก็ได้มาสแกน QR Code ดังกล่าว ก็จะสามารถชำระหนี้เงินกู้ได้ทันทีเช่นเดียวกับการชำระหนี้ที่สาขาของธนาคาร โดยคาดว่าจะเริ่มนำ Dynamic QR Code มาให้บริการลูกค้าตามจุดต่าง ๆ ได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
เฟส 3 โครงการGHB Mobile Application เป็น Application ของ ธอส. ที่จะให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร ทั้งการชำระหนี้เงินกู้ สินเชื่อ และเงินฝาก โดยคาดว่าจะเริ่มนำออกให้บริการในระยะแรก คือ การชำระหนี้เงินกู้ได้ประมาณกรกฎาคม 2561 ซึ่ง GHB Mobile Application เมื่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์ จะสามารถให้บริการได้ ทั้งการชำระหนี้เงินกู้ สอบถามผลการพิจารณาสินเชื่อ แจ้งผลการอนุมัติสินเชื่อ นัดทำนิติกรรม ดูใบเสร็จรับชำระหนี้อิเล็กทรอนิกส์ ติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อ และแจ้งเตือนชำระหนี้ ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาได้เสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 4 ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายว่า ภายในสิ้นปี 2561 จำนวนธุรกรรมชำระหนี้เงินกู้ผ่านเครื่อง LRM Dynamic QR Code และ GHB Mobile Application จะไม่ต่ำกว่า 30% ของจำนวนที่มาชำระเงินกู้ที่สาขาธนาคาร