“ ฮาบิแทท” เผยแผนปี61ผุด 4 โครงการใหม่มูลค่า4,000ล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยตลาดคอนโด กทม.ปั้นแบรนด์”วาลเด้น” เจาะคอนโดลักชัวรี่ เล็งผุด3โครงการย่านสุขุมวิทมูลค่ารวมกว่า 2,500 ล้านบาท ล่าเปิดตัว”วาลเด้น อโศก”มูลค่า 700ล้านบาท เจาะลูกค้านักลงทุนญี่ปุ่น ชูจุดขายผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า 4-6% ต่อปี
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในปี 61นี้ บริษัทมีแผนลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการ แบ่งโครงการในเมืองพัทยา1โครงการมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท และ 3 โครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ ในย่าน ซีบีดี สุขุมวิท ซอย 23,31,39 โดยทั้ง3โครงการจะมีมูลค่ารวมประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งปีนี้จะเป็นปีแรกที่บริษัทได้มีการรุกตลาดคอนโดในย่านซี่บีดี กทม. จากเดิมที่ ฮาบิแททฯ มีฐานการลงทุนอยู่ในเมืองพัทยา ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “วาลเด้น อโศก” คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ โลว์ไรส์ สูง7ชั้น 83 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.9-11 ล้านบาท หรือ มีราคาขายเฉลี่ยที่ 1.9 แสนบาทต่อตารางเมตร โดยมีมูลค่าโครงการรวม 700 ล้านบาท
สำหรับโครงการ”วาลเด้น อโศก”เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นและจีน ซึ่งมีสัดส่วนการอยู่อาศัยในทำเลอโศกนี้สูงถึง 70-80% รวมไปถึงนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ จากการสำรวจการเพิ่มขึ้นของราคาและอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าของโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลอโศก พบว่า ทำเลนี้มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาอยู่ที่ประมาณ 6-10% ต่อปี หรือกว่า 200,000-250,000 บาทต่อตารางเมตร และได้รับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ประมาณ 4-6% ต่อปี อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมจัดกิจกรรมพรีเซลล์โครงการ”วาลเด้น อโศก”ระหว่างวันที่ 24-25 มี.ค.นี้ ณ โรงแรมพูลแมน สุขุมวิท
“ปัจจุบันทำเลอโศกมีการพัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการพัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้ารีเทล รวมไปถึงโครงการมิกซ์ยูสต่างๆ เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต รวมไปถึงการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยในย่าน ซีบีดี ที่ยังคงมีความต้องการจากลุ่มผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอโศกเป็นที่ทำเลที่ได้รับความนิยมในด้านของการอยู่อาศัย อย่างไรก็ตามหลังจากนี้บริษัทจะมองตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเล กทม.เป็นตลาดหลัก”นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับคอนโดมิเนียมและโรงแรมรวมถึงห้องเช่าในพื้นที่ซีบีดี ในกทม.ถือว่ามีอัตราการเข้าใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงแรมซึ่งมีอัตราการเช่าสูงถึง 90% ขณะที่เดียวกันการปรับตัวของราคาที่ดิน โดยเฉพาะในทำเลสุขุมวิท ซึ่งมีการปรับตัวของราคาสูงมาก ประกอบกับที่ดินที่มีความเหมาะสม และมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการอาคารชุดที่จำกัด ทำให้มีความต้องการเพิ่มขึ้นไปด้วย
ทั้งนี้ จากบทวิจัยของบริษัทที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการและบริษัทรับบริหารการขายโครงการหลายๆบริษัทพบว่าในแต่ละปีในพื้นที่กทม.มีการพัฒนาโครงการห้องชุดกระจายตัวอยูในพื้นต่างๆในตลาดประมาณ 100,000 ยูนิต แต่ในทำเลสุขุมวิทมีซับพลายเข้ามาใหม่6,000-8,000ยูนิต ขณะที่อัตราการระบายออกในทำเลดังกล่าวสูงกว่า70-80% ทำให้สินค้าที่เข้ามาในตลาดขายหมดไปอย่างรวดเร็ว