บิ๊กบอส “ช ทวี” ส่งซิกผลงานปี 61 เข้าสู่โหมดเทิร์นอะราวนด์ โชว์ Backlog หนากว่า 6.5 พันล้านบาท จ่อรับรู้รายได้ในปีนี้ 2.7 พัน ลบ. พร้อมเดินหน้าเข้าชิงงานใหม่อีกเพียบ ขณะที่งบปี 60 เริ่มฟื้น กวาดรายได้กว่า 1,595.82 ล้านบาท พุ่ง 49.07% จากช่วงปีก่อน อานิสงส์ยอดขายภายในประเทศเพิ่ม
นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ประกอบธุรกิจเป็นผู้ออกแบบ สร้างสรรค์ ผลิตตัวถังและติดตั้งระบบวิศวกรรมที่เกี่ยวกับยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งเป็นผู้ผสานเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบราง และลอจิสติกส์เข้ากับการจัดการอย่างมืออาชีพ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2560 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1,595.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 525.30 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 49.07% เนื่องจากยอดขายในส่วนของงานในประเทศเพิ่มขึ้น จากกลุ่มสินค้ามาตรฐานจากการขายหัวรถ และผลิตตู้บรรทุก
สำหรับรถขนส่งและผลิตรถโดยสารขนาดใหญ่ ประกอบกับมีสัดส่วนรายได้จากงานบริการที่เพิ่มขึ้นจากศูนย์บริการซ่อมรถบรรทุกสิบล้อ 24 ชั่วโมง ที่เปิดใหม่ในปี 2560 ขณะเดียวกัน บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิลดลงอยู่ที่ 19.50 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 71.78 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลง 78.64%
นอกจากนี้ มีประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 2/2561 ยังมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทตามแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ตามที่บริษัทได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 และให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2561 ในวันที่ 23 เมษายน 2561 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
“ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 มั่นใจว่าจะว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ และกลับมาเทิร์นอะราวนด์ เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณงานในมือแล้ว 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 2,710 ล้านบาท จากงานทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่อีกจำนวนมาก” นายสุรเดช กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นขยายตลาดทั้งในประเทศ อาทิ การขยายฐานลูกค้าด้านการขนส่งตามหัวเมืองใหญ่ ๆ การเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชน และต่างประเทศ อาทิ การเจาะตลาดรถลำเลียงอาหาร, เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง และผลิตรถตามออเดอร์ เป็นต้น ไปพร้อมกับการขยายศูนย์บริการซ่อมรถบรรทุก “สิบล้อ 24 ชั่วโมง” ให้ครบ 8 แห่ง ภายใน 3 ปี (พ.ศ. 2561-2563) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัท รวมไปถึงการบริหารจัดการต้นทุนต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น