ห้องเย็น เอเชี่ยน ซีฟู้ด อวดแผนธุรกิจปี 61 ตั้งเป้ารายได้โต 15% จากปีก่อนหน้า ชี้เห็นสัญญาณที่ดีหลังตลาดกุ้งฟื้นหนุนการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารแช่เยือกแข็ง โตแรง รวมทั้งการตอบรับที่ดีต่อเนื่องจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ล่าสุด จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อร่วมทุนกับพันธมิตร ลุยตลาดทั้งในและต่างประเทศ พร้อมโชว์งบปี 60 ออกมาสวย กำไรเติบโตก้าวกระโดดอยู่ที่ 418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170% จากปีก่อน บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.25 บาท
นายเฮ็นริคคัส แวน เวสเทิร์นดรอป ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานบริหารสายการเงิน บริษัท ห้องเย็น เอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% มาอยู่ที่ราว 11,200 ล้านบาท จากปี 2560 ที่สามารถทำได้ 9,740 ล้านบาท และคาดการณ์กำไรขั้นต้นที่ 10 -10.5% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยเชื่อมั่นว่าการเติบโตจากอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารสัตว์น้ำ ที่มีอัตรากำไรสูง ยังเป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ และจะสามารถชดเชยปัจจัยลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากในขณะนี้ได้ โดยธุรกิจสัตว์น้ำปีนี้คาดว่า ผลผลิตกุ้งของประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 3 แสนตัน เป็น 3.3 แสนตัน ส่วนธุรกิจหมึก ยังเชื่อมีโอกาสฟื้นตัว หลังจากที่สถานการณ์ในปีที่ผ่านมาค่อนข้างแย่ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากมีการจับหมึกสายพันธุ์อื่นที่มีปริมาณมากและมีราคาต่ำ ทำให้ปลาหมึกไทยได้รับผลกระทบมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อว่า สัดส่วนรายได้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้ใน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มแช่เยือกแข็ง 41%, กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง 27%, อาหารสัตว์น้ำประเภทกุ้ง ปลา 15%, กลุ่มปลาทูน่า 11% และกลุ่มจัดจำหน่าย และอื่น ๆ 6% ของรายได้รวม
“ทิศทางธุรกิจปีนี้มองว่า กลุ่มอาหารแช่เยือกแข็ง ยังมีแนวโน้มเติบโตในปีนี้ โดยเฉพาะกุ้งแปรรูป เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบกุ้งฟาร์มเลี้ยงในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดส่งออกกุ้งของไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มอาหารอาหารกุ้งได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย บริษัทฯ ยังเชื่อว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ในระดับที่น่าพอใจได้จากการบริหารจัดการที่ดี แม้ว่าวัตถุดิบมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น ส่วนกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ยังคงมีการเติบโตโดดเด่น” นายเฮ็นริคคัส กล่าว
นอกจากนี้ บอร์ดมีมติให้ บมจ. ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จัดตั้งบริษัทใหม่ โดยถือหุ้น 99.99% ภายใต้ชื่อ บริษัท เอเชี่ยน กรุ๊ป เซอร์วิส จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท หุ้นสามัญ 100,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เพื่อประกอบกิจการให้บริการด้านการบริหารจัดการและการตลาดกับบริษัทในเครือ ด้วยการพัฒนาและจำหน่ายทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท รวมถึงแบรนด์ เครื่องหมายการค้าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ความรู้ (Know-how) ในผลิตภัณฑ์และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการลงทุนในหุ้น หรือการสนับสนุนเงินทุนด้านอื่น ๆ ให้กับบริษัทที่ดำเนินกิจกรรมที่สร้างโอกาสการเติบโตให้กลุ่มบริษัททั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ บอร์ดยังมีมติให้บริษัท เอเชี่ยน กรุ๊ป เซอร์วิส จำกัด เข้าซื้อหุ้นบริษัท Asian Group SCS Europe GmbH บริษัทสัญชาติเยอรมัน สัดส่วนการถือหุ้น 60% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15,000 ยูโร โดยลักษณะธุรกิจทำการตลาดและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทเอเชี่ยนในต่างประเทศ และมีมติให้บริษัท เอเชี่ยน กรุ๊ป เซอร์วิส จำกัด ลงทุนในบริษัทแห่งใหม่ในประเทศไทย ชื่อ บริษัท อินเตอร์เพ็ตติน่า จำกัด ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกับบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด ในสัดส่วนการถือหุ้น 40% คิดเป็นมูลค่า 1.6 ล้านบาท โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัท เอเชี่ยนอะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจทูน่า และอาหารสัตว์เลี้ยง ยังมีการลงทุนสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติ มูลค่า 230 ล้านบาท ซึ่งได้รับอนุมัติแผนการลงทุนจากคณะกรรมการบริษัทฯ แล้วก่อนหน้านี้ อยู่ระหว่างการเซ็นสัญญาเพื่อการก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาสที่ 2/2561 และจะเสร็จสิ้นการก่อสร้างในช่วงต้นปี 2562 โดยการก่อสร้างคลังสินค้าจะทำให้บริษัทฯ มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าคงเหลือได้ดีขึ้น และมีปริมาณการจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 1.3 หมื่นพาเลท เพิ่มความพร้อมที่จะรุกตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2560 มีรายได้จากการขายรวม 9,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 9,206 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 155 ล้านบาท ส่วนงบไตรมาส 4/2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,615 ล้านบาท ลดลง 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,896 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 106 ล้านบาท ลดลง 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
“ผลงานปีที่ผ่านมาออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่ารายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 9,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 6% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยบริษัทฯ ได้รับผลกระทบในทางลบราว 5% จากการที่ค่าเงินบาทแข็ง และยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มหมึกแช่เยือกแข็ง ลดลง โดยยอดขายเชิงปริมาณเพิ่มขึ้นราว 15% จากการที่ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารสัตว์น้ำ เพิ่มขึ้นอย่างมาก และสามารถชดเชยยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์หมึก ที่ลดลงได้ อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจอยู่ที่ 10.5% เทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ 8.4%” นายเฮ็นริคคัส กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.25 บาทต่อหุ้น โดยจ่ายจากกำไรของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (Non-BOI) ทั้งหมด วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 4 พฤษภาคม 2561 กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 โดยจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 25 เมษายน 2561 และที่ประชุมมีมติเพื่อนำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียน จากเดิมจำนวน 542,730,702 บาท เป็น 542,727,549 บาท โดยการลดหุ้นสามัญ จำนวน 3,153 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเหลือจากการถูกจัดสรรเป็นหุ้นปันผลตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 ประจำปี 2560