“ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” รายงานผลประกอบการ ปี 2560 ทำรายได้รวมทั้งปีเพิ่มขึ้น 1.6% จากปีก่อนหน้า ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 136,535 ล้านบาท ฟันกำไรโต 6,021 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 14.6% เหตุบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะมีผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU กล่าวว่า บริษัทมีความยืดหยุ่นในการทำกำไรปี 2560 ถึงแม้ตลาดจะผันผวนและราคาวัตถุดิบสูงขึ้น โดยผลประกอบการงวดบัญชีปี 2560 บริษัทฯ ทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18,141 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 13.3% เมื่อเทียบกับ 14.8% ในปี 2559 เนื่องจากราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง
อย่างไรก็ตาม การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนและการควบคุมต้นทุนต่าง ๆ อย่างเข้มงวด มีส่วนช่วยลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูง โดยอัตราค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหาร ต่อการขาย เท่ากับ 9.8% ต่ำกว่าเป้าหมายทั้งปีที่คาดไว้ที่ 10% ดังนั้น กำไรสุทธิของบริษัทในปี 2560 จึงยังสามารถทำสถิติสูงสุดและเติบโตได้ถึง 14.6% จากปีก่อนหน้านี้ มาอยู่ที่ 6,021 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของยอดขายรวมที่มาจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไทยยูเนี่ยน ในปี 2560 ยังคงสัดส่วนอยู่ที่ 42% โดยที่เหลือมาจากธุรกิจรับจ้างผลิต โดยยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ในปี 2560 ยังทรงตัวอยู่ที่ 61,145 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น เพิ่มขึ้น 2.7% จากปี 2559 อยู่ที่ 57,315 ล้านบาท ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่ม ปรับเพิ่มขึ้น 3.5% จากปีก่อนอยู่ที่ 18,074 ล้านบาท ซึ่งยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และการรับรู้ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในธุรกิจภัตตาคารอาหารทะเล เรด ล็อบสเตอร์ ในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมที่จะประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราส่วนที่ 0.34 บาทต่อหุ้น รวมเป็นการจ่ายเงินปันผลทั้งปีของปี 2560 ที่ 0.66 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าบริษัทจะประสบกับสภาวะตลาดที่ท้าทายในปีที่ผ่านมา
สำหรับปี 2560 ยอดขายในอเมริกาเหนือ ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัท โดยมีสัดส่วน 40 % ของยอดขายรวม ขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 32% ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 10% และยอดขายจากญี่ปุ่น คิดเป็น 6% ของยอดขายรวมทั้งหมด สัดส่วนยอดขายของตลาดหลักเริ่มมีการปรับเปลี่ยนมาที่ตลาดในประเทศ และตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เนื่องจากความพยายามในการเจาะตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน
“ความกดดันเรื่องราคาวัตถุดิบที่สูงเริ่มคลี่คลาย หลังจากราคาปลาทูน่า เริ่มลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 ถึงแม้ว่าจะมีความท้าทายในเรื่องต้นทุนวัตถุดิบที่สูง และความผันผวนทางเศรษฐกิจในหลาย ๆ ตลาดทั่วโลก เรายังมีความยืดหยุ่นในการทำกำไรในปี 2560 ได้เป็นอย่างดี”