การเสนอขายดิจิทัล โทเคนต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (ICO) ภายใต้ชื่อ JFINCOIN ของบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทลูกของบริษัท เจ มาร์ท จำกัด(มหาชน) หรือ JMART ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยช่วงสายวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ยอดจองซื้อพุ่งขึ้นถึง 89.62 ล้านเหรียญสหรัฐ
JFINCOIN ที่เสนอขายในครั้งแรก มีจำนวนทั้งสิ้น 100 ล้านเหรียญ ราคาเหรียญละ 6.60 บาท เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 14 - 28 กุมภาพันธ์นี้ และน่าจะขายหมดเกลี้ยงก่อนกำหนดเวลาปิดจอง
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้สาธารณชนทั่วไปคือ ทำไมเงินสกุลดิจิทัลของบริษัทจดทะเบียนแห่งนี้ จึงขายดิบขายดีเกินความคาดหมาย
และใครบ้างที่แห่เข้าไปลงทุนในเงินสกุลที่ไร้การควบคุม ไม่สามารถทำนายอนาคตได้
นักลงทุนที่รุมเข้าไปเล่น JFINCOIN น่าจะแยกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งมีควาามรู้เกี่ยวกับเงินสกุลดิจิทัลอย่างดี เข้าใจถึงระบบสินเชื่อบุคคลที่ไม่มีคนกลางที่กลุ่ม JMART และมีความประสงค์จะเข้าไปใช้บริการระบบสินเชื่อที่พัฒนาขึ้น โดยเชื่อว่า อนาคตน่าจะสดใส
ส่วนอีกกลุ่มอาจมีความรู้เกี่ยวกับเงินสกุลใหม่ในระดับงู ๆ ปลา ๆ ไม่เข้าใจในระบบสินเชื่อแบบไม่มีคนกลาง แต่ต้องการเข้าไปเก็งกำไรใน JFINCOIN เพราะหากได้รับความนิยมเหมือน บิทคอยน์ อาจรวยในพริบตา
และการลงทุนใน JFINCOIN ใช้เงินไม่มาก เหรียญละ 6.60 บาท ซื้อ 1 พันเหรียญ ใช้เงินเพียง 6,600 บาท ลงทุน 1 หมื่นเหรียญ เสี่ยงลงเงินเพียง 66,000 บาท ถ้าอนาคต JFINCOIN ได้รับความนิยมเหมือนบิทคอยน์ ราคาพุ่งทะยาน ถือไว้เพียง 1 หมื่นเหรียญ จะกลายเป็นเศรษฐีได้
แนวโน้ม JFINCOIN จะสดใส ได้รับความนิยมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกลุ่มนักลงทุนที่จองซื้อในครั้งแรกเหมือนกัน
เพราะถ้าส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนที่ต้องการเข้าไปทำธุรกรรมระบบสินเชื่อบุคคลที่ไม่มีคนกลาง จะทำให้กิจกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลต่อบุคคลที่กลุ่ม JMART มีความคึกคัก ส่งผลให้ความต้องการ JFINCOIN สูงขึ้น เพื่อมีสิทธิเข้าไปใช้บริการในระบบสินเชื่อ
แต่ถ้านักลงทุนที่จองซื้อ JFINCOIN ส่วนใหญ่ เป็นนักเก็งกำไร ไม่คิดจะเข้าไปทำธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลโดยไร้คนกลาง โครงการที่กลุ่ม JMART พัฒนาขึ้นก็จะไม่เป็นที่นิยม มีกิจการสินเชื่อในอัตราต่ำ ความต้องการ JFINCOIN จะไม่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับโครงการคอนโดมิเนียมหรือการสร้างห้องแถว ถ้ามีแต่นักเก็งกำไรเข้าไปจองซื้อ โดยไม่ประสงค์จะเข้าไปอยู่อาศัยหรือใช้บริการ คอนโดมิเนียมหรือห้องแถวที่สร้างขึ้น จะกลายเป็นโครงการร้างว่างเปล่า ไม่มีใครสนใจจะซื้อ
ถ้าโครงการสินเชื่อบุคคลแบบไม่มีคนกลาง ของกลุ่ม JMART ไม่ติดตลาด JFINCOIN จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
อีกประมาณ 1 เดือนเศษ JFINCOIN จะถูกนำเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง หรือตลาดซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลโดยตรง นักลงทุนที่จองซื้อ JFINCOIN ไว้ ต้องลุ้นระทึกว่า JFINCOIN จะซื้อขายกันที่ราคาเท่าไหร่ จะทำกำไรตามที่ฝันกันหรือไม่
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ราคาหุ้น JMART วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ไม่มีการตอบรับกระแสจอง JFINCOIN ที่ล้นหลามแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามกลุ่ม JMART ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ โกยเงินกว่า 600 ล้านบาท จากการขายฝันเงินสมมุติในระบบดิจิทัลไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนนักลงทุนที่ใส่เงินลงทุนไป ไม่มีใครบอกได้ว่า จะต้องเผชิญชะตากรรมอย่างไร จะร่ำรวยหรือขาดทุนย่อยยับ
ความสำเร็จในการระดมเงินจากโครงการขายฝันของJMART คงทำให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่เฝ้าจับตาอยู่ เตรียมตัวขยับ ตามแห่ขายฝัน ออกเงินดิจิทัลสกุลต่าง ๆ ตามมา
ฟองสบู่เงินดิจิทัลเปิดฉากขึ้นแล้วในประเทศไทย โดย JMART เป็นผู้จุดชนวน