ทิสโก้ เวลธ์ แนะกลยุทธ์การลงทุนในงานสัมนา TISCO Wealth Investment Forum หัวข้อ “จับกระแส Fund Flow โลก เจาะกลยุทธ์การลงทุนปี 61” ชี้ปีนี้ตลาดผันผวนหนัก แนะจับจังหวะทยอยซื้อหุ้น ยกตลาด “จีน-ญี่ปุ่น-อินเดีย-หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ” ยังเป็นดาวเด่น พร้อมประเมินดัชนีหุ้นไทยปี 61 แตะ 1,900-1,950 จุด
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยในงานสัมมนา เจาะกลยุทธ์การลงทุนปี 61 ว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2561 มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยคาดว่า GDP โลกจะขยายตัว 3.9% สูงสุดตั้งแต่ปี 2554 นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งได้แรงส่งจากนโยบายการลดภาษีช่วยกระตุ้นการบริโภค และการลงทุน ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้เกิน 4% เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
แม้ภาพเศรษฐกิจจะสดใสแต่การลงทุนอาจยากขึ้น และตลาดน่าจะผันผวนขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจาก การดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เข้มงวดขึ้น ทั้งการทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้น และการดูดซับสภาพคล่อง ขณะที่ยุโรปลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินลง ด้านประเทศญี่ปุ่นยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าภาพรวมการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างระหว่างธนาคารกลางหลักของโลก จะทำให้ตลาดมีความผันผวนมากขึ้น ประกอบกับสภาพคล่องโลกจะเริ่มทยอยปรับลดลงในปีหน้า ในส่วนเงินเฟ้อในช่วงนี้ เห็นสัญญาณฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเศรษฐกิจโลกที่เร่งตัวขึ้น และอัตราการว่างงานที่ลดลงทั่วโลก
นอกจากนี้ ราคาน้ำมัน และราคาโลหะอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้จะสร้างแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินให้เข้มงวดมากขึ้นกว่าคาด
“การอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลางที่ลดลง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น กดดันให้ผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก และส่งผลต่อเนื่องไปกดดันระดับมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นให้ปรับฐานลงมาได้ แต่เป็นเพียงการปรับฐานระยะสั้น (Bull Market Correction) เท่านั้น ไม่ใช่การกลับตัวเป็นขาลงระยะยาว (Bear Market) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของ Bond Yield จะกระทบต่อตลาดหุ้นจากทางด้าน Valuation เท่านั้น แต่ในด้านการเติบโตของกำไร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เชื่อว่าจะยังมีอยู่ต่อเนื่องตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวได้ดี ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นยังอยู่ในขาขึ้นต่อไป” นายคมศร กล่าว
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปีนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ประเมินว่าตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก และเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนที่สุดในปี 2561 แต่ตลาดคงไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเหมือนปี 2560 และโอกาสปรับขึ้น (Upside) จะมีจำกัดเนื่องจากแรงกดดันจาก Bond Yield ส่งผลให้ระดับ P/E ของตลาดลดลง โดยนักลงทุนต้องลงทุนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น และอาศัยการจับจังหวะซื้อขายระยะสั้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน
ขณะที่นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวว่า บล.ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2561 จะเป็นปีแห่ง “กระทิงไฟ” คือ ดัชนีจะปรับขึ้นแบบผันผวน โดยมองดัชนีเป้าหมายปลายปีอยู่ที่ 1,900 จุด ด้วย Forward PER เท่ากับ 17.2 เท่า ขณะที่ EPS Growth จะอยู่ที่ 12% แต่ช่วงนี้คาดว่าดัชนีจะปรับฐานครั้งใหญ่ตามการปรับตัวลงของ DOWJONES และ ราคาน้ำมัน WTI โดยมองดัชนีเป้าหมายแนวรับอยู่ที่ 1,760 และ 1,720 จุด แต่ตลาดหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เพราะสภาพคล่องในตลาดยังดีและดอกเบี้ยยังต่ำ อีกทั้งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติยังให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยน้อยกว่าตลาด (Under Weight) โดยขายหุ้นไทยสุทธิกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่ากระแสเงิน (Fund Flow) เหล่านี้จะเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวก 2 กรณีคือ กรณีแรกการประกาศพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษตะวันออก (พ.ร.บ. EEC) ภายในไตรมาส 1/2561 และ กรณีที่สองการประกาศวันเลือกตั้งซึ่งน่าจะเป็นไตรมาส 4 ของปีนี้
“สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2561 นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น เพราะตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน ดังนั้น แนะเริ่มทยอยซื้อหุ้นสะสมที่แนวรับ 1,760 & 1,720 จุด ถือยาวเพื่อรอเป้าหมายปลายปีนี้ที่ 1,900 จุด หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ คือ พลังงานทางเลือก การบริโภคภายในประเทศ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่จะได้รับผลบวกจาก พ.ร.บ. EEC ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ ซึ่งหุ้นเด่นในปีนี้แนะนำ GPSC, ROJNA, NYT, COM7”
ด้านนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co., Ltd.) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในขาขึ้น จากการติดตามกระแสเงินทั่วโลกพบว่า ช่วงที่ผ่านมา มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของ บลจ. ทิสโก้ ที่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตสูง Valuation อยู่ในระดับที่ลงทุนได้ และคาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้ได้ต่อเนื่อง โดยตลาดที่ บลจ. ทิสโก้ สนใจในช่วงนี้ คือ ตลาดหุ้นจีน, ญี่ปุ่น, อินเดีย ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ แนะนำให้เน้นเป็นบางอุตสาหกรรมเช่นกลุ่มการเงิน
“บลจ. ทิสโก้ ยังสนใจตลาดหุ้นจีนมากที่สุดในปีนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนลง อีกทั้งคาดว่าจะมีกระแสเงินลงทุนไหลเข้าจีนมากขึ้น หลังจากตลาดหุ้นจีนถูกนับอยู่ในดัชนี MSCI รวมถึงการเชื่อมตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และฮ่องกง เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีขนาดใหญ่และน่าสนใจเพิ่มขึ้น ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ” นายสาห์รัช กล่าว
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีปัจจัยบวกจากรัฐบาล และธนาคารกลางญี่ปุ่น ที่กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง บริษัทญี่ปุ่นมีผลการดำเนินงานดีอย่างต่อเนื่อง มีระดับอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 9-10% จากในอดีตไม่ถึง 5% อีกทั้ง valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง และระดับดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงห่างไกลจากจุดสูงสุดเดิมมาก สำหรับตลาดนี้ บลจ. ทิสโก้ แนะนำกองทุนเปิด ทิสโก้เจแปน แอคทีฟ อิควิตี้ (TISCOJPA)
สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย โดดเด่นที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตสูง เหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยในปี 2561 คาดว่าตลาดหุ้นอินเดียจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่ 18% สูงเป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาค ขณะที่เศรษฐกิจโตดี โดยคาดว่าในปีนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะเติบโตมากถึง 7% และน่าจะเติบโตสูงเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง บลจ. ทิสโก้ เตรียมออกเสนอขายกองทุนใหม่ที่ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย คาดว่าจะเสนอขายได้ในเดือน มี.ค. นี้
ด้านหุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวเป็นผลดีต่อผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มการเงิน อีกทั้งนโยบายของทรัมป์ ในเรื่องการลดภาษี และการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ควบคุมสถาบันการเงิน คาดว่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ โดยสามารถลงทุนผ่านกองทุนเปิดทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล (TUSFIN) ส่วนตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับขึ้น มีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดี เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจทุกตัวฟื้นตัวพร้อมกัน ทั้งการลงทุนภาครัฐ, ท่องเที่ยว, ส่งออก, การลงทุนภาคเอกชน และการประกาศวันเลือกตั้ง แต่หุ้นไทยถือว่าไม่ถูกนัก