xs
xsm
sm
md
lg

BEAUTY เปิดโรดแมป 5 ปี รายได้แตะ 1 หมื่นล้าน มาร์เกตแคป ทะยาน 1 แสนล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


BEAUTY เปิดโรดแมป 5 ปี รายได้แตะ 10,000 ล้านบาท มาร์เก็ตแคป ทะยาน 100,000 ล้านบาท ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำของเอเชีย เดินหน้าสร้างผลประกอบการเติบโตยั่งยืน ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 4,290 ล้านบาท หรือโตไม่ต่ำกว่า 20% รักษาอัตรากำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 20%

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ภายใต้แนวคิด Live a beautiful life. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ BEAUTY ได้รับคัดเลือกเข้าอยู่ในการคำนวณดัชนี SET 50 บริษัทได้มีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ 5 ปี (2561-2565) ตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 20% อัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 20% โดยคาดว่าในปี 2565 บริษัทจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท และเป็นแบรนด์เครื่องสำอางของไทยที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วเอเชีย

สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมไม่ต่ำกว่า 4,290 ล้านบาท หรือโตไม่ต่ำกว่า 20% รักษาอัตรากำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 20% ตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 120 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนเปิดสาขาใหม่ จำนวน 80 ล้านบาท และนำไปใช้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และ Business Intelligence (BI) จำนวน 40 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างยอดขายรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทกำหนดกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้นโยบาย “Fast & Smart” โดยมีปัจจัยหลัก 5 ด้าน ประกอบด้วย

1. กลยุทธ์การตลาดแบบ O2O (Online to Offline synchronization) โดยใช้สื่อออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มรวมทั้งคน (Influencer) ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพนักงานทุกระดับ เพื่อให้เกิด Engagement กับลูกค้าวงกว้าง และเป็นพลังในการสร้างยอดขายให้แก่ช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์ เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

2. กลยุทธ์ Product Driven การขับเคลื่อนยอดขายให้เติบโตโดยผ่านกลยุทธ์ การสร้าง Product Hero ทั้งสินค้าเดิมที่มีอยู่แล้ว และสินค้าใหม่ และเน้นสินค้าที่เป็นอินโนเวชั่นตามเทรนด์แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นการทำงานคู่ขนานไปกับกลยุทธ์ O2O

3. การลงทุนและพัฒนาระบบ Business Intelligence (BI) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการขาย และลูกค้าทุกช่องทาง เพื่อให้ผู้บริหารสามารถใช้ Information ในเชิงลึกในการมอนิเตอร์ และจัดกลยุทธ์การทำการตลาด การขาย และ CRM ให้เกิดความได้เปรียบสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ

4. การพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพด้านการขายการตลาด พร้อมเพิ่มความรู้ความสามารถในงานของตนเองมากขึ้น (Professional) เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน

5. ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีโอกาสการเติบโตสูง และเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่ายเดิมทั้งในและต่างประเทศ โดยมีแผนขยายสาขาในประเทศ เพิ่ม 34 สาขา BEAUTY BUFFET 22 สาขา BEAUTY COTTAGE 12 สาขา และมีแผนปรับ BEAUTY MARKET ให้เป็นร้านที่มีสินค้าขายทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ทั้ง 9 สาขา จากปัจจุบันมีจำนวนสาขาในประเทศทั้งสิ้น 345 สาขา แบ่งเป็น BEAUTY BUFFET 261 สาขา BEAUTY COTTAGE 75 สาขา และ BEAUTY MARKET 9 สาขา อีกทั้งยังมีสินค้าวางจำหน่ายในคิง พาวเวอร์ 8 สาขา 22 จุดจำหน่าย, 7-ELEVEN 650 สาขา, และปีนี้ได้เข้าจำหน่ายใน Boots จำนวน 145 สาขา และมีสินค้าวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด แทรดดิชันนัลเทรดกระจายอยู่ทั่วประเทศ

ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีนโยบายขยายตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยเน้นการสร้าง Shop Brand และ Product Brand ให้เป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ AEC โดยรูปแบบการขยายตัวมีทั้งรูปแบบตัวแทนจำหน่าย และกระจายสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายที่เข้าถึงง่าย ทั้งรูปแบบ Offline Retailer และ Online Retailer ที่ได้รับความนิยมในแต่ละประเทศ โดยมีเป้าหมายใช้ผลิตภัณฑ์เจาะตลาดในทวีปเอเซีย อาทิ กลุ่มประเทศ AEC, จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน สำหรับเป้าหมายในอนาคตจะเป็นกลุ่มประเทศขนาดใหญ่ คือ ประเทศอินเดีย และรัสเซีย

นอกจากนี้ ตัวแทนจำหน่าย (Licence shop) มีแผนขยายสาขาเพิ่มจำนวน 13 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 21 สาขา ทำให้สิ้นปี 2561 จะมีสาขาของตัวแทนจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 34 สาขา กระจายอยู่ในประเทศ 3 ประเทศ คือ ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และพม่า นอกจากนี้ มีแผนนำสินค้าเข้าจำหน่ายในรูปแบบ Shop in shop เพิ่มจำนวน 2 ประเทศ 5 จุดจำหน่าย คือ ประเทศกัมพูชา และมาเลเซีย จากปัจจุบันที่มี 4 ประเทศ 136 จุดจำหน่ายกระจายอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย, ฮ่องกง, ไต้หวัน และลาว ซึ่งเปิดจุดจำหน่ายใหม่ 5 จุดจำหน่ายในช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา และในไตรมาสที่ 1/2561 วางแผนเปิดจุดจำหน่ายใหม่ในประเทศมาเลเซีย จะทำให้สิ้นปี 2561 จะมีสินค้าวางจำหน่ายในรูปแบบ Shop in shop ทั้งสิ้น 6 ประเทศ 145 จุดจำหน่าย

ในปี 2561 คาดการณ์อัตราการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางเติบโตต่อเนื่องพร้อมกับการขยายตัวทางเศษฐกิจมีแนวโน้มที่ดี ประกอบกับทางบริษัทมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายทั้งช่องทางการจัดจำหน่ายแบบร้านค้าปลีก (Shop concept) และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมีการพัฒนาต่อเนื่อง (Product concept) ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่า ในปี 2561 ผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้


กำลังโหลดความคิดเห็น