ช ทวี ลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นกับ Macquarie Bank Limited แล้ว ด้านหัวเรือใหญ่แจงนักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียง เข้ามาถือหุ้นบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่น และเล็งเห็นถึงความสามารถในการสร้างการเติบโตในอนาคตได้อีกมาก หวังนำเงินที่ได้มาใช้สำหรับหมุนเวียนภายในกิจการ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และรองรับการขยายธุรกิจหลัก
นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) (CHO) ประกอบธุรกิจเป็นผู้ออกแบบ สร้างสรรค์ ผลิตตัวถังและติดตั้งระบบวิศวกรรมที่เกี่ยวกับยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งเป็นผู้ผสานเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบราง และลอจิสติกส์เข้ากับการจัดการอย่างมืออาชีพ เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2561 ได้พิจารณาและอนุมัติการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ได้แก่ Macquarie Bank Limited จำนวนไม่เกิน 185,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในคราว ๆ เดียวหรือเป็นคราว ๆ ไป ซึ่งการจองซื้อหุ้นดังกล่าวขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการเข้าลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นระหว่าง บริษัทฯ และ Macquarie BankLimited และเงื่อนไขที่ระบุไว้ในข้อสัญญาดังกล่าวนั้น รายละเอียดเป็นไปตามเอกสารที่อ้างถึงดังกล่าว
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นกับ Macquarie Bank Limited เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯ จะแจ้งรายละเอียดของการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนผ่านระบบการรับส่งข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป
“Macquarie Bank Limited เป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียง จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในประเทศออสเตรเลีย มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเข้าจองซื้อหุ้น และมีฐานะทางการเงินมั่นคง และการที่เข้ามาถือหุ้นบริษัทฯ แสดงให้เห็นว่า Macquarie Bank Limited เชื่อมั่นในความสามารถในการสร้างการเติบโตในอนาคตได้อีกมาก” นายสุรเดช กล่าว
สำหรับวัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนมาใช้สำหรับหมุนเวียนภายในกิจการ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและรองรับการขยายธุรกิจหลักของบริษัทฯ รวมทั้งเสริมสร้างให้บริษัทฯ มีฐานะเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรองรับงานโครงการอื่น ๆ ทั้งที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน และที่คาดว่าจะประมูลได้เพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนในตลาดเงิน ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดภาระหนี้สินจากการกู้ยืมเงิน และสามารถลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของบริษัทฯ ได้