กลุ่มเจมาร์ท ประกาศกลยุทธ์ปี 2561 สุดอลังการ ผนึกกำลัง “The Power of Synergy Chapter III” ตั้งเป้ากลุ่มธุรกิจปีนี้เติบโต 30% โดย Jaymart Mobile รุกขยายสาขาอีก 75 สาขา และเปิดตัว Jaymart Digital Store รายแรกในประเทศ แถมบุกตลาดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.jaymartstore.com ส่วน JMT ยังเป็นดาวเด่นของกลุ่ม ตั้งเป้าปีนี้กำไรนิวไฮต่อเนื่อง เตรียมซื้อหนี้เข้ามาบริหารอีก 5.2 หมื่นล้านบาท
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยถึง กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ “The Power of Synergy Chapter III” ในปี 2561 มีทิศทางสดใสชัดเจน หลังการผนึกกำลัง Synergy Chapter II ในปี 2560 ที่ผ่านมา สร้างผลการดำเนินงานเติบโตได้เข้าเป้า พร้อมตั้งเป้าหมายปี 2561 กลุ่มเจมาร์ท เติบโตอีก 30% เมื่อเทียบกับปี 2560 ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจการเงิน วางงบการลงทุนรวมทั้งกลุ่มไว้กว่า 19,000 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล รองรับการเติบโตในอนาคต
ในปีนี้กลุ่มเจมาร์ท พร้อมเปิดเกมรุกธุรกิจการเงินด้วยเทคโนโลยีฟินเทค เนื่องจากเห็นโอกาสจากการทำธุรกิจร่วมกันในกลุ่ม เปิดตัวผู้บริหารระดับสูง นายปิยะ พงษ์อัชฌา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART คุมกลุ่มธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ สินเชื่อ Hire Purchase และธุรกิจประกันภัย เน้นเอา Synergy และนวัตกรรมในธุรกิจประกันภัย หรือ Insure Tech มาสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มบริษัทในปีนี้ และนายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART คุมนโยบายกลุ่มธุรกิจการเงิน และสินเชื่อส่วนบุคคล หวังดันมาร์จินให้เติบโตแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าตามแผน นำบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคาดว่าจะไฟลิ่งได้ภายในปี 2561 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2562 ระดมทุนเพื่อขยายพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งสิ้นปี 2560 ที่ผ่านมา สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นตามที่วางไว้ หรือปล่อยสินเชื่อซึ่งมียอดลูกหนี้สินเชื่อคงค้างกว่า 3,200 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2561 จะปล่อยสินเชื่อเพิ่มอีก 7,000 ล้านบาท อีกทั้งเตรียมบุกใช้เทคโนโลยีฟินเทค และ Blockchain เพื่อรองรับอนาคตทางการเงินของโลก โดยมี บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC) บริษัทในเครือ ประกาศเกาะกระแสโลกเทคโนโลยีทางด้านการเงิน ระดมทุนครั้งแรกด้วยดิจิทัล โทเคน (Initial Coin Offering : ICO)ในชื่อ “JFin Coin” สร้างมิติใหม่ให้กลุ่มเจมาร์ท และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านฟินเทค โดยนำเอา Blockchain เข้ามาใช้เป็นรายแรกของประเทศ
ด้านนายดุสิต สุขุมวิทยา และนางสาวศุภมาศ ไข่แก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ได้กล่าวถึงแนวโน้มตลาดโทรศัพท์มือถือในปีนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยยิ่งขึ้น มือถือกลายเป็นอุปกรณ์จำเป็น ผู้ผลิตแบรนด์ชั้นนำทยอยออกสินค้ารุ่นใหม่มาเอาใจผู้บริโภค คาดว่าในสิ้นปีนี้ตลาดรวมมือถือในประเทศไทย จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท จากปี 2560 อยู่ที่กว่า 110,000 ล้านบาท โดยในปี 2560 ที่ผ่านมา เจมาร์ท โมบาย มีการเติบโตมากกว่าภาพรวมตลาดฯ และสามารถจำหน่ายมือถือได้กว่า 1.2 ล้านเครื่อง
ทั้งนี้ ปี 2561 เจมาร์ท โมบาย วางงบลงทุนรวมไว้จำนวน 130 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปี 2560 จากกลยุทธ์ผลักดันการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) มากกว่า 10% ผ่านการบริหารแบรนด์หลักของบริษัทฯ ทั้ง SAMSUNG, iPhone, HUAWEI OPPO และ VIVO รวมทั้งการขยายสาขาใหม่ในปีนี้รวม 75 สาขา ได้แก่ เจมาร์ท ช็อป 20 สาขา, เจ คาเมร่า 20 สาขา, แบรนด์ช็อป 20 สาขา และประเดิมเปิดเจมาร์ทในสาขาของซิงเกอร์ 15 สาขา จากสิ้นปี 2560 มีสาขาภายใต้การบริหารของบริษัทฯ รวม 225 สาขา นอกจากนี้ ยังเตรียมรีโนเวต เจมาร์ท ช็อป และมีแผนการจัดงานอีเวนต์ 32 งาน เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น มอบประสบการณ์การซื้อสินค้าของลูกค้าที่แตกต่างจากคู่แข่ง เตรียมเปิด Jaymart Digital Store ร้านแรกในประเทศ พร้อมนำเทคโนโลยี AI เข้ามาสร้างความแปลกใหม่ในการบริการให้กับลูกค้า และรุกตลาดออน์ไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.Jaymartstore.com โดยตั้งเป้าการขายผ่านออนไลน์ปีนี้เริ่มต้นที่ 500 ล้านบาท
อีกทั้งยังเปิดตัว Jay Pay ให้ลูกค้าสามารถจ่ายบิลและชำระค่าบริการได้ที่เจมาร์ททุกสาขา โชว์ความโดดเด่นในเรื่องบริการ ซึ่งเป็นรายเดียวที่เสนอประกันเครื่องให้ลูกค้านานถึง 30 วัน พร้อมนำเสนอสิทธิประโยชน์เรื่องประกันมือถือให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น และจับมือบริษัทในเครืออย่าง เจ ฟินเทค นำ J Money สนับสนุนในเรื่องของสินเชื่อ จับมือ เจ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าในการใช้ประกันต่าง ๆ ครบวงจรในด้านสินค้าและบริการ เสริมทัพธุรกิจมือถือปีนี้ให้โดดเด่นต่อเนื่องได้
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ผู้นำในธุรกิจติดตามหนี้และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้ปีนี้มีแนวโน้มการเติบโตโดดเด่น สิ้นปี 2560 JMT ซื้อหนี้เข้ามาบริหารในพอร์ตทะลุ 120,000 ล้านบาท และในปี 2561 ตั้งเป้างบลงทุน 4,500 ล้านบาท เพื่อซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่องอีก 52,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน และหนี้ที่มีหลักประกัน สนับสนุนพอร์ตบริหารหนี้สิ้นปี 2561 แตะเป้า 170,000 ล้านบาท ได้สำเร็จ ย้ำความมั่นใจผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรทำนิวไฮต่อจากปีที่ผ่านมา หรือตั้งเป้าผลงานปีนี้โตอีกไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อน พร้อมเปิดตัวโมบายแอปพลิเคชันตามหนี้ “Jaii Dee” นำกระแสฟินเทคก่อนคู่แข่งในธุรกิจติดตามหนี้
สำหรับบริษัทในเครือเจเอ็มที กัมพูชา ปัจจุบันเริ่มติดตามหนี้แล้ว และมีแผนรุกไปยังประเทศเวียดนาม ในช่วงปลายปี 2561 และรุกเข้าสู่ธุรกิจประกันทั้งบริษัท เจ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ที่ประกอบธุรกิจนายหน้า ประกันวินาศภัยต่าง ๆ ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยทรัพย์สิน อุบัติเหตุส่วนบุคคล และการทำดีลเข้าถือหุ้นในธุรกิจประกันภัย
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ประกาศผลงานปี 2561 คาดเทิร์นอะราวนด์ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% จากปีก่อน และวางงบลงทุนไว้จำนวน 720 ล้านบาท จากแผนพัฒนาธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าศูนย์โทรศัพท์มือถือ ภายใต้ชื่อ “IT JUNCTION” โดยสิ้นปี 2560 มีจำนวน 52 สาขา และตั้งเป้าในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา รวมถึงธุรกิจศูนย์การค้าชุมชนภายใต้ชื่อ The Jas ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ The Jas วังหิน, The Jas รามอินทรา ที่มีการรีโนเวตใหม่ในปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ และ Jas Urban ศรีนครินทร์ เป็นสาขาล่าสุดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในปีนี้ยังเตรียมออกแอปพลิเคชั่น J Smile เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของศูนย์การค้าอีกด้วย
สำหรับโปรเจกต์คอนโด Newera โครงการแรกตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปลายปี 2561 และเตรียมศึกษาโครงการต่อเนื่องเพื่อสร้าง Backlog ให้เติบโตในอนาคต ส่วนธุรกิจกาแฟแบรนด์ คาซ่า ลาแปง ที่เข้าไปลงทุนในปีที่ผ่านมา พร้อมเสริมด้วยแบรนด์ย่อย Rabb Coffee เน้นตลาดแฟรนไซส์สำหรับผู้ที่สนใจทำธุรกิจกาแฟที่มีแบรนด์มาตรฐาน พร้อมมีผู้ให้สินเชื่อสำหรับประกอบธุรกิจทั้งเจ ฟินเทค และเอสจี แคปปิตอล พร้อมแผนตั้ง Barista Academy ผลิตบาริสต้าเข้าสู่ร้านกาแฟในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 โดยมีแผนขยายสาขาทั้ง คาซ่า ลาแปง และ Rabb Coffee รวม 250 สาขาภายใน 3 ปีนี้
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER มั่นใจปีนี้ธุรกิจสดใส ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 35% จากปีก่อน และวางงบลงทุนไว้กว่า 3,000 ล้านบาทจากการขยายสินค้าและบริการ โดยเน้นการขายสินค้าเพื่อการพาณิชย์ ที่เจาะกลุ่มลูกค้าประเภทธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม อาทิ ตู้แช่, เครื่องทำน้ำแข็ง, ตู้เติมน้ำมันหยอดหรียญ และตู้เติมเงินรูปแบบใหม่ ผ่านตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯ รวมทั้งใช้ความได้เปรียบสำหรับช่องทางรากหญ้า เร่งยอดธุรกิจสินเชื่อรถทำเงิน บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ รวมถึงสินเชื่อไมโคร และนาโนไฟแนนซ์ ทั้งนี้ Singer มีแผนขยายสาขาและช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเปิดตัว “Singer Franchise” ซึ่งเน้นคอนเซ็ปต์ ใคร ๆ ก็เป็นเจ้าของธุรกิจซิงเกอร์ได้ ตั้งเป้าขยายสาขา เป็น 350 สาขา ภายในปี 2563
นอกจากนี้ ในด้านการบริหารได้ผู้บริหารมือดีเข้ามาบริหารงานด้านสินเชื่อ โดยได้แต่งตั้งผู้บริหารใหม่ นางสาวสนันนาถ กุลไพศาลธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด รุกธุรกิจสินเชื่อ ทั้งรถทำเงิน Captive Finance รุกสินเชื่อรากหญ้า สินเชื่อไมโคร และนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งจะสร้างพอร์ตให้ขยายมากขึ้น และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2563 เพื่อระดมทุนในการขยายสินเชื่อต่อไป
** เจ เวนเจอร์ส เตรียมเปิดให้ระดมทุนด้วยดิจิทัล โทเคน “JFin” Coin **
บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC บริษัทย่อยภายใต้กลุ่มเจมาร์ท ประกาศระดมทุนครั้งแรกด้วยดิจิทัล โทเคน (Initial Coin Offering : ICO) ในชื่อ “JFin” จำนวน 100 ล้านเหรียญ ที่เหรียญละ 0.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ เตรียมเปิดขายรอบ Presale 14-28 กุมภาพันธ์ 2561 และเสนอขายครั้งแรก (ICO) ในวันที่ 1-31 มีนาคม 2561 โดยระดมทุนเพื่อนำมาพัฒนาระบบซอฟท์แวร์ทางด้านการ ปล่อยสินเชื่อด้วยเทคโนโลยี Blockchain เพื่อสนับสนุนธุรกิจสินเชื่อของเจ ฟินเทค ให้ตอกย้ำการเป็นผู้นำทางด้านฟินเทคของประเทศตัวจริงเสียงจริง
นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC) บริษัทย่อยในกลุ่มบริษัท เจมาร์ท ประกาศนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาสร้างโอกาสธุรกิจสินเชื่อภายในกลุ่มบริษัทเจมาร์ท โดยประกาศแผนระดมทุนผ่านดิจิทัล โทเคน เป็นครั้งแรกต่อประชาชน โดยจำนวน JFin Coin ทั้งหมด 300,000,000 เหรียญ แต่ะจะนำมาทำ Initial Coin Offering หรือ ICO ก่อนจำนวน 100 ล้านเหรียญ ที่หน่วยละ 0.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ
คาดว่าจะได้รับเงินระดมทุนประมาณ 660 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์ของการระดมทุน เพื่อนำไปพัฒนาระบบ Digital Lending Platform หรือระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลให้กับบริษัท เจ ฟินเทค ทั้งนี้ ภายใต้ระบบสินเชื่อดังกล่าว บริษัทได้นำเอาเทคโนโลยี Blockchain เข้ามาใช้ ซึ่งประโยชน์ของเทคโนโลยี Blockchain คือ เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ และไม่ต้องอาศัยคนกลางในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะเป็นภาพประวัติศาสตร์ครั้งแรกของประเทศที่นำเอาการระดมทุนผ่าน ICO และ Blockchain นั้น ได้เชื่อมโยงภาคธุรกิจจริง ๆ
ทั้งนี้ JVC มองว่า ธุรกิจสินเชื่อในกลุ่มบริษัทเจมาร์ท จะเติบโตได้อีกมาก ด้วยการมี Ecosystem ที่รองรับ การเติบโตของธุรกิจ และฐานข้อมูลลูกค้า และช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ซึ่งนำเอา Blockchain เข้ามาใช้เพื่อรุกธุรกิจสินเชื่อเป็นรายแรกของประเทศ จะยิ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจสินเชื่อได้ โดยบริษัทมีแผนจะเสนอขาย รอบ Presale ระหว่างวันที่ 14-28 กุมภาพันธ์ 2561 และเสนอขายครั้งแรกต่อสาธารณชนทั่วโลก วันที่ 1-31 มีนาคม 2561
ปัจจุบัน บริษัทได้จัดทำ White Paper หรือเอกสารแสดงข้อมูลสำหรับการระดมทุนใกล้เสร็จสิ้นแล้ว โดยจะนำเผยแพร่ต่อผู้ที่สนใจผ่านเว็บไซต์ของ www.jfincoin.io ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเสนอขาย “JFin” Coin ต่อผู้ที่สนใจลงทุนทั่วโลก ทั้งนี้ การระดมทุนผ่านดิจิทัล โทเคน เป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย บริษัทมีความตั้งใจที่จะสร้างให้เทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ได้จริงในอนาคต โดยได้ศึกษาหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหารือกับหน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบัน หลักเกณฑ์อยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการ โดยบริษัทอยากให้ผู้ที่สนใจลงทุนได้ศึกษาข้อมูลที่อยู่ใน White Paper ก่อนตัดสินใจลงทุน