“ไรมอนแลนด์” ผุดบริษัทร่วมทุนร่วมกับ “บ้านหญิง กรุ๊ป” ขยายไลน์รุกธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เดิมวางเป้า 3 ปีรายได้ 1,000 ล้านบาท หลังขยายครบ 15 สาขาในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ คาดปีแรกรายได้ 100 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเพิ่มพอร์ตรายได้ 5 ธุรกิจ ที่อยู่อาศัย, ออฟฟิศเช่า, โรงแรม, อาหาร-เครื่องดื่ม และดิจิทัล วางเป้ารายได้ 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทใน 3-5 ปี เผยแผนปี 61 เปิดโครงการใหม่ 2-3 โครงการ แจง 2 ไตรมาสสุดท้าย ผุด 2 โครงการใหม่ย่านสาทร และพร้อมพงษ์ มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท
นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML กล่าวว่า ได้ขยายไลน์ธุรกิจสู่กลุ่มอาหารและเครื่องเดิม โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุน กับ บ้านญิง กรุ๊ป เพื่อขยายการลงทุนสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม นำอาหารไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยไรมอนแลนด์ มีแผนจะขยายธุรกิจไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน โดยมีแผนจะเปิดร้านอาหารรวม 10-15 สาขาภายใน 3 ปีจากนี้ ในเมืองเป้าหมาย นอกจาก สิงคโปร์แล้ว คือ กัวลาลัมเปอร์, พนมเปญ, ฮานอย, โฮจิมินห์, เสิ่นเจิ้น, เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ซึ่งในไตรมาสแรกของปีจะเปิด ร้านอาหารในไทย 2 แห่งในกรุงเทพฯ ในอาคาร รอยัง แสควร์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตคอมเพล็กซ์เพื่อสุขภาพของ โนวีน่า เฮล ซิตี้ โดยจะมีร้าน ดิงค์ ดิงค์ อยู่ในชั้น 1 นำเสนออาหารไทยในบรรยากาศสบาย ๆ และร้าน บ้าน หญิง ตั้งอยู่ในชั้น 2 นำเสนออาหารไทยที่คนไทยรับประทานอยู่ทุกวัน และในไตรมาสไตรมาสที่ 3 จะเปิดร้านที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ สไตล์ ฮ็อต พ็อต ไทย-อีสาน ขณะเดียวกัน ก็มีแผนจะเปิดร้านอาหารในสิงคโปร์ อีก 1 แห่ง
“ในปีแรกนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จากธุรกิจอาหารและเครื่อง เดิมที่ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะขยายสาขาเพิ่มให้ครอบ 10-15 สาขาภายใน 3 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีจากนี้ สำหรับสาเหตุที่ไรมอนแลนด์ขยายธุรกิจเข้าสู่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากเห็นถึงแนวโน้มและพฤติกรรมการทานอาหารนอกบ้านของผู้บริโภคทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ที่ขยายตัวสูง รวมไปถึงการทานอาหารในร้านอาหารของนักท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ การขยายฐานธุรกิจสู่กลุ่มอาหาร เพราะเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ได้เร็ว ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีรอบธุรกิจที่ยาว ดังนั้น การเลือกขยายไลน์ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ให้ผลตอบแทนเร็ว จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัท และส่งผลดีต่อกระแสเงินสดของไรมอนแลนด์”
นอกจากนี้ ไรมอนแลนด์ ยังมีการขยายฐานธุรกิจไปในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ออฟฟิศเช่า และ ดิจิทัล ซึ่งจะทำให้จากนี้ไปบริษัทมีโครงสร้างรายได้ ประกอบด้วย 1. กลุ่มที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียม ซึ่งเน้นจับตลาดลักชัวรี โดยตั้งเป้าว่า 3 ปีจากนี้ จะสร้างรายได้ต่อปีในระดับ 5,000 ล้านบาท โดยในปีนี้มีแผนจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการ โดยในไตรมาสที่ 3/61 จะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์ในย่านสาทร จำนวน 203 ยูนิตมูลค่า 4,000 ล้านบาท และไตรมาส 4 จะเปิดตัวโครงการคอนโดไฮไรส์ย่านสุขุมวิท (พร้อมพงษ์) จำนวน 237 ยูนิต มูลค่า 4,868 ล้านบาท โดยราคาขายของทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะมีราคาเฉลี่ยที่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
“ล่าสุด ได้พัฒนาคอนโดมิเนียม โครงการ “เดอะ ลอฟท์ สีลม” บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ สูง 37 ชั้น รวม 268 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ราคาขายเริ่ม 7 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งเริ่มก่อสร้างช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ที่ผ่านมา คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 63 โดยได้เปิดพรีเซลส์วันที่ 23 ก.ค. 60 ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้ว 75%”
นายเอเดรียน ลี กล่าวต่อว่า 2. กลุ่มออฟฟิศเช่า โดยปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการออฟฟิศเช่า และพื้นที่ค้าปลีก ในย่านเพลินจิต ซึ่งโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท มีพื้นที่ให้เช่ารวม 61,000 ตารางเมตร โดยคาดว่าในเดือนเมษายนนี้ จะสามารถรับมอบที่ดินเช่าตามกำหนดเพื่อเดินหน้าก่อสร้างโครงการตามกำหนดในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยในกลุ่มธุรกิจออฟฟิศเช่า ตั้งเป้าว่าจะมีพื้นที่ให้เช่ารวม 100,000 ตารางเมตรในระยะ 5 ปีจากนี้ 3. กลุ่มโฮสพิทาลิตี้ หรือโรงแรม บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีห้องพักให้บริการลูกค้า 1,000 ห้องภายในระยะ 5 ปีจากนี้ 4. กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งเป้าว่าจะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 63 และกลุ่มดิจิทัล ซึ่งตั้งเป้าว่าจะมีผู้ใช้บริการ 10 ล้านราย ภายใน 5 ปีข้าง
“แม้ว่าตลาดหลักของไรมอนแลนด์ จะเป็นกลุ่มตลาดระดับบน ซึ่งกลุ่มลูกค้า ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว แต่จากแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในไทยที่คาดว่าจะยังทรงตัว หรือขยายตัวแต่ไม่หวือหวาเมื่อเทียบปีก่อนหน้า ส่งผลให้รายได้จากกลุ่มที่อยู่อาศัยขยายตัวได้ไม่มากนัก ทำให้บริษัทต้องขยายไลน์ไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดรับกับเป้ารายได้ 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปี”