ดู เดย์ ดรีม เทรดวันแรกเหนือจอง 32 บาท เพิ่มขึ้น 60.38% จากราคาจอง IPO ที่กำหนดไว้หุ้นละ 53 บาท มูลค่าซื้อขาย ขาย 5,799.35 ล้านบาท พร้อมนำเงินใช้ขยายงานตามแผน โบรกฯ ให้ราคาเป้าหมายที่ 61 บาท คาดกำไรปี 61 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ 61% จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
วานนี้ (25 ธ.ค.) หุ้นของบริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เข้าซื้อขายเป็นวันแรกโดย เปิดตลาดพบว่า ราคาหุ้นอยู่ที่ 99 บาท เหนือจากราคาจอง IPO ที่กำหนดไว้ 53 บาท ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 100 บาท ต่ำสุดที่ 80.25 บาท เมื่อปิดตลาดพบว่า ราคาหุ้นอยู่ที่ 85 บาท เพิ่มขึ้น 32 บาท คิดเป็น 60.38% มูลค่าซื้อขาย 5,799.35 ล้านบาท และระหว่างเทรด พบว่ามีรายการบิ๊กลอต DDD-F 1 รายการ จำนวน 2,600,000 หุ้น มูลค่าซื้อขาย 137.80 ล้านบาท เทรดในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 53 บาท
บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ประเมินราคาเป้าหมาย (DCF) ของ บมจ. ดู เดย์ ดรีม (DDD) 61 บาท โดย DDD มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และอยู่ในอุตสาหกรรม Skin care ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรต่อปี (CAGR) 3 ปีข้างหน้าที่ 32% ปัจจัยผลักดันมาจากการเพิ่มช่องทางการขายและออกสินค้าใหม่ อีกทั้งคาดว่าการส่งออกไปประเทศจีนจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายช่องทางการขายทั้งออนไลน์ และร้านค้าปลีก
ทั้งนี้ DDD มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งภายใต้ชื่อ NAMU LIFE โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ชื่อว่า Snailwhite โดยวางตำแหน่งทางการตลาดเป็น Premium Mass ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม อีกทั้งมีช่องทางการขายที่หลากหลายทั้งร้าน Modern trade ร้านค้าแบบดั้งเดิม ออนไลน์ และร้านค้า NAMU LIFE ของ DDD เอง ขณะที่อุตสาหกรรมสินค้า Skin care มีแนวโน้มเติบโตดีจากการที่ผู้บริโภคให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพ และความงามมากขึ้น นอกจากนั้น การส่งออกไปประเทศจีน คาดจะเติบโตสูงจากการขยายช่องทางการขายทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ อีกทั้งตลาด Skin care ในประเทศจีนมีมูลค่าสูง และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คาดอัตราเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเท่า 32% โดยกำไรปี 2561 คาดจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ 61% จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายทั้งในประเทศ และส่งออก รวมทั้งการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ยอดขายในประเทศจะถูกผลักดันจากการเพิ่มช่องทางการขาย เช่น ร้าน King Power และการออกสินค้าขนาดเล็กในรูปแบบซอง (Sachet) เพิ่มเติม โดยที่ผ่านมา ในไตรมาส 3/60 ได้วางขายในร้านสะดวกซื้อ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนการส่งออกไปประเทศจีน จะถูกสนับสนุนจากการขายผ่านทางออนไลน์ และออฟไลน์มากขึ้น
บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 โตราว 30% เท่ากับปีนี้ จากการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ โดยรายได้ต่างประเทศส่วนใหญ่มาจากตลาดจีน ซึ่งเติบโตมาก ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% พร้อมกับมีแผนขยายตลาดเพิ่มอาเชีย ขณะที่แผนนขยายกำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 4 ล้านลิตรต่อปี และในปี 63 จากขณะนี้ 1.9 ล้านลิตรต่อปี โดยได้สร้างโรงงานใหม่ ใช้เงินลงทุนรวม 250 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหลายเฟส