‘ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์’ พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับที่ดีจากความเชื่อมั่นในแผนดำเนินธุรกิจที่จะขยายไลน์สินค้า และขยายฐานลูกค้าภาคอุตสาหกรรมทั้งในและตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม หนุนการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10%
นายสมศักดิ์ หลิมประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPT ผู้ให้บริการระบบไฟฟ้ากำลังสำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องจักร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถเชิงการแข่งขันแก่ภาคอุตสาหกรรม ครอบคลุมถึงการจำหน่ายอุปกรณ์และระบบควบคุมไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงให้บริการติดตั้งและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 20 ธันวาคม 2560 โดยใช้ชื่อย่อ CPT ในการซื้อขาย หลังจากที่ได้นำเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 270 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาจองซื้อหุ้นละ 2.30 บาท ระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งมั่นใจว่า หุ้น CPT จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในการเข้าซื้อขายวันแรก
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีจุดแข็งด้านประสบการณ์ของทีมผู้บริหารที่อยู่ในแวดวงธุรกิจมากว่า 30 ปี ทำให้มีความเชี่ยวชาญในด้านความหลากหลายของระบบควบคุมเครื่องจักร และระบบไฟฟ้า เพื่อออกแบบ ผลิตตู้ไฟฟ้าของระบบควบคุมไฟฟ้ากำลังที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ารายใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพจากฐานการผลิตของโรงงานตนเอง ทำให้สามารถเพิ่มอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ดี ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตในแง่ของผลการดำเนินงาน หลังจากช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-กันยายน) CPT มีกำไรสุทธิ 85.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 64.50% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายกิจการ ด้วยการลงทุนซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ และซื้อเครื่องจักรผลิตตู้ไฟชนิดไม่มีโครงสร้าง Metal Clad Switchgear (MSCG) และการประกอบ Ring Main Unit (RMU) หรืออุปกรณ์ตัดต่อกระแสไฟฟ้าจากการนำสายไฟฟ้าลงดิน ที่จะช่วยให้ CPT สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ไปยังกลุ่มหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นต้น และจะร่วมกับบริษัท Danfoss จากประเทศเดนมาร์ก ในการประกอบระบบกักเก็บพลังงาน Energy Storage System เพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ขณะเดียวกัน ยังวางแผนขยายตลาดระบบควบคุมเครื่องจักร และระบบไฟฟ้าในต่างประเทศ โดยมีแผนร่วมทุนตั้งสำนักงานขายในต่างประเทศ เพื่อรองรับแผนขยายตลาด และฐานลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย พม่า และกัมพูชา เพิ่มเติม เพื่อรับโอกาสการเติบโตด้านการค้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน
“เรามีวิสัยทัศน์เป็นผู้นำด้านการผลิตตู้ไฟฟ้า ระบบควบคุมเครื่องจักร และระบบไฟฟ้า ที่มุ่งเน้นการแข่งขันได้ทั้งราคา คุณภาพ การบริการ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า พร้อมมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รองรับการรุกขยายฐานลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งในประเทศ และแถบภูมิภาคอาเซียน” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า CPT ถือเป็นบริษัทของคนไทยที่มีศักยภาพการเติบโตได้ดีในภูมิภาคอาเซียน จากการดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้บริการระบบควบคุมเครื่องจักร และระบบไฟฟ้า เพื่อการออกแบบ ผลิตตู้ไฟฟ้าของระบบควบคุมและไฟฟ้ากำลังที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้า ด้วยแผนธุรกิจที่ต้องการขยายไลน์สินค้า และลูกค้าภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่รายใหม่ ๆ ทั้งใน และต่างประเทศ จึงทำให้ CPT มีขีดความสามารถการแข่งขันที่ดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ด้วยความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าภาคอุตสาหกรรมรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ทำให้หุ้น CPT เป็นหุ้นพื้นฐานที่มีโอกาสการเติบโตที่ดีทั้งในแง่ของรายได้และกำไร จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน